พลันมีข่าวโควิดไฮบริดกลายพันธุ์สูตร “เอ็กซ์อี” พบในสหราชอาณาจักร มีแสนยานุภาพเพิ่มทวีอีก 10% และโคจรถึงบ้านเราแล้ว 1 รายให้ผู้คนได้ขนลุกขนพองสยองเกล้า
แต่รัฐบาลบ่ยั่น...ตัดสินใจรัวๆเป็นไงเป็นกัน...ทางเดียวที่นำพาบ้านเมืองได้คือการกู้เศรษฐกิจมิให้ประชาชนอดอยากไปมากกว่านี้... ด้วยเหตุฉะนี้หวยจึงมาออกที่ “ภาคการท่องเที่ยว” อีกคำรบ
...หลังออกทุกทีที่บ้านเมืองย่ำแย่แก้ไม่แพ้ปัญหา “แหพันลิง”
ลองถอดสมการดูจะรู้ว่า...กรณีโควิดขย้ำไม่ว่าจะสายพันธุ์ใดก็ยังยากต่อการเข็นครกขึ้นภูเรือเพื่อฟื้นฟูสถานการณ์ท่องเที่ยว โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศที่ดราม่าให้ท่านผู้นำประเทศกล่าวยืนยัน ปีนี้ได้ทัวริสต์ต่างชาติ 1.28 ล้านล้านคนตามโพยเสนอ...ซึ่งยากจะเป็นไปได้?
อดีตนักเศรษฐศาสตร์ผู้คร่ำหวอดตลาดท่องเที่ยวแสดงความห่วงใย การคาดการณ์นักท่องเที่ยวปีนี้ไว้น่ารับฟัง...ด้วยตัวแปรที่ทำนายได้ชัดเจนคือหนึ่งการผ่อนคลายเรื่องโควิดที่เป็นอยู่ปัจจุบัน
ซึ่งยังคงติดเชื้อเพิ่มรายวัน 5–6 หมื่นราย ตาย 90 คน
...
สองแนวโน้มการเพิ่มเที่ยวบินเข้าออกระหว่างประเทศไทยกับภูมิภาคต่างๆทั่วโลกที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการลำเลียงผู้โดยสาร หากไม่ทราบ 2 ประเด็นนี้...ก็ยากจะคาดการณ์ได้แม่นยำ
“จากการประเมินรายได้ตลาดต่างประเทศปีนี้ หากการฟื้นตัวตลาดโลกดีขึ้นการเดินทางระหว่างประเทศไม่มีเงื่อนไข รวมถึงการเปิดชายแดนหนองคาย อุดรธานี สงขลาและสตูลแล้ว
จึงคาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 ล้านคน รายได้ 6.25 แสนล้านบาท เช่น สัดส่วนจากตลาดใกล้คืออาเซียน 1.1 ล้านคน แปซิฟิกใต้ออสเตรเลีย 2 แสนคน เอเชียใต้จากอินเดีย 4.50 แสนคน... นั่นหมายถึงเดินทางได้นับแต่เมษายนนี้เป็นต้นไป”
สำหรับตลาดบ้านเรา เชื่อเถอะ! หัวเด็ดตีนขาดเที่ยวกันอยู่แล้วให้เต็งจ๋าจะได้ 160 ล้านคนต่อครั้งกับรายได้ 6.56 แสนล้านบาทแน่นอน...อันหลังนี้ให้ผู้นำพูดจะเข้าท่ากว่าอันแรก
แต่ว่าก็ว่า...การเคาะทัวร์ในประเทศดูไม่ค่อยเป็นโล้เป็นพายเท่าเติมเต็มทัวร์ต่างประเทศ เห็นได้จากการทุ่มโปรโมตภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ใช้เวลา 8 เดือนได้ทัวริสต์ต่างชาติ 3.31 แสนคน...รวมพวก “เมียไทยสั่งลุย” ให้เขยฝรั่งตีตั๋วย่างมาเยือนพ่อตาแม่ยายถึงบ้านเกิดเมียสาว
ผิดกับการรื้อโครงการ “อันซีนไทยแลนด์ 25 แห่ง” ทั่วทุกภูมิภาคสนับสนุนคนไทยเที่ยวเพิ่มขึ้น เอาเข้าจริง...ถูกเททิ้ง “อันซีน” ความต่อเนื่องจนวันนี้...ที่ไม่มีอะไรในกอไผ่?
เหลือก็เพียงแต่ “เราเที่ยวด้วยกัน” ที่ทีมเศรษฐกิจรุ่นแรกคิด สำนักงานเศรษฐกิจการคลังกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ทำ เปิดให้ลงทะเบียนรับค่าที่พัก 40% รัฐจ่าย 60% แจกคูปองอาหารมื้อละ 600 บาท ซื้อตั๋วเรือบิน 40-60% จ้างคนไทยเที่ยวช่วยผู้ประกอบการฟื้น
หากยังพอจำกันได้ปลายปีที่แล้ว “โอมิครอน” โหมหนักบังคับให้ รัฐต้องเข็น “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3” ออกมาควักเงินกู้ 8 พันล้านบาท อีก 2 ล้านสิทธิ์...
แต่เที่ยวนี้มีข่าวเศร้าแร้งโรงแรมลงทึ้งหลอกรัฐขายห้องพัก ทำให้ผู้ประกอบการสุจริตพลอยเดือดร้อนไปด้วย เพราะคิวตรวจสอบเอกสารล่าช้า
...
ช่างน่าอัปยศอดสู...ที่ทำให้รู้ว่ายังมีโรงแรมกำมะลอรอกินเงินภาษีคนทั้งแผ่นดิน...จนโรงแรมดีๆหลายโรงถอนตัวจากโครงการกลางคัน เพราะ 4 เดือนที่ไม่ได้รับเงิน ทำให้ขาดสภาพคล่อง ซ้ำ... หลังถูกโควิดลงดาบแรกตามด้วยรัฐบูลลี่ดาบสองเงินโครงการ
คอนเทนต์สำคัญนี้มีอยู่ว่า... “เราเที่ยวด้วยกัน” ทุกเฟส เป็นมหากาพย์ผูกขาดการดำเนินงานโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังจัดสรรเรื่องงบประมาณ ททท.ทำหน้าที่แม่งาน จึงควรทบทวน...3 ตุลาคม 2545 หลังการปฏิรูปโครงสร้างองค์กรรัฐใหม่ ตั้ง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว
พัฒนามาตรฐานสินค้าและบริกรบริการทุกสาขา มีสำนักทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์เป็นดาบคู่ชีพ กับตำรวจท่องเที่ยวเป็นหอกคู่ใจ
ททท.เป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัด มีจ๊อบงานเผยแพร่ประเทศไทยกับแกนนำด้านตลาดคอยชวนคนไทยเที่ยวในบ้าน ดึงคนนอกบ้านมาทัวร์เมืองไทย...แต่ที่ผ่านๆมาทั้ง 2 หน่วยทำงานแย่งซีนกันจนน่าเวียนหัว...ทั้งที่น่าจะบูรณาการร่วมกัน?
...
พอมี อพท. (องค์การมหาชน) ร่วมสังกัดทริปเปิลก็ยิ่งมั่วหนักขึ้น ไม่รู้โปรเจกต์ไหนเป็นของใคร...ระหว่าง กก.-ททท.-อพท.?
ตัดกลับมาเรื่อง “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3–4” ที่กำลังติดชาร์ตขาเม้าท์แวดวงท่องเที่ยว หลายคนงงเต็กที่ ททท.ทำตลาดแล้ว เหตุไฉนเจ้ากระทรวงกลับไร้บทบาท ปล่อยให้กลัดกระดุมผิดเม็ดกันแต่เม็ดแรก จนมีโรงแรมจอมปลอมและรัฐทำขายขี้หน้าจ่ายเงิน ผู้ร่วมโครงการล่าช้า 4 เดือน
เคสนี้...แหล่งข่าวภายในเชื่อถือได้เล่าให้ฟังว่า เกิดจากธนาคารผู้คุมระบบการจองโรงแรมทั่วประเทศพบว่า โรงแรมบางโรงมีห้องพัก 200 ห้อง อัตราเข้าพักยามวิกฤติเคยมีไม่เกิน 10-20% แต่บุ๊กกิ้งพุ่งพรวดเมื่อเปิดโครงการ 80-100% เคยขายห้องคืนละ 700 กลายเป็น 7,000 บาท
ธนาคารจึงส่งข้อสังเกตให้ ททท.ในฐานะผู้เบิกจ่ายตรวจสอบหาความจริง...กระดุมเม็ดที่สองถึงกลัดผิดต่อมา เพราะ ททท.เป็นหน่วยงานด้านตลาด แต่กลับนั่งจุมปุ๊กกับโรงแรมโจร
ด้วยการใช้กองตลาด 5 ภาคคือ ภาคกลาง เหนือ ใต้ อีสาน ตะวันออก ซึ่งปกติทำหน้าที่ประสานงานสำนักงานแต่ละภาค มีคนทำงานภาคละ 6-7 คนทำเอกสารเบิกจ่ายให้โรงแรมแต่ละโรง...
เมื่อพบโรงแรมชั่วซื้อบัตรประชาชนมาหลอกใช้สิทธิ์โดยไม่เข้าพัก ก็ส่ง ททท.สำนักงานสาขาสืบหาข้อเท็จจริงอีกทีร่วมกับตำรวจท่องเที่ยว...ถ้าผิดก็แจ้งความเป็นคดีกันต่อไป
แหล่งข่าวรายเดียวกันตัดพ้ออีกว่า...งานประจำคือส่งเสริมท่องเที่ยว “ปีท่องเที่ยวไทย” แทบไม่ได้ทำเพราะต้องสวมบท “จับแมว ขโมย” แทน
และวันๆถูกโรงแรมตามทวงเงินทั้งทางตรงเมื่อพบกันหรือทางอ้อม โดยสื่อออนไลน์ทุกชนิด...เหมือนลูกหนี้บัตรเครดิตไม่มีผิด
...
บทเรียนนี้สอนให้รู้ว่า...การบริหารจัดการโครงการ “เจ้าภาพ” ต้องรัดกุม ไม่เปิดช่องโหว่ให้โรงแรมเสือหิวหากินเงินภาษีราษฎร คล้ายๆไวยาวัจกรงาบเงินวัดห้าร้อยล้าน นักการเมืองทุจริตจำนำข้าวนับหมื่นล้าน...และรัฐอย่ากลัดกระดุมผิดเม็ดให้ ททท. “รำผิดเพลง” เพียงลำพัง...
สุดท้าย ตอกย้ำ สุดช้ำ...ต้องไม่ลืม “เราเที่ยวด้วยกัน” เป็นมหากาพย์ชาติ ที่น่าเชื่อถือและมั่นใจในความมั่นคง...แต่ภาพสะท้อนครั้งนี้ ให้ตายสิ! เห็นแล้วเสียดายองค์กรท่องเที่ยวของรัฐ...ขาดความเป็นเอกภาพเสียจริง.