ปัจจุบันอินเดียเผชิญกับสถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้น ตามการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ข้อมูลจากกระทรวงสถิติของอินเดีย ระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของอินเดียในเดือน ม.ค.2565 เพิ่มขึ้น 6.01% เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่า CPI ในเดือน ธ.ค.2564 ที่มี 5.66%
ข้อมูลจากผู้ผลิตรายใหญ่ในอินเดีย เช่น Nestlé India, ITC, HUL, Dabur and Britannia พบว่าสินค้าอุปโภคบริโภคมีราคาเพิ่มขึ้น 4-20% อาทิ ชา กาแฟ บิสกิต ช็อกโกแลต บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เครื่องสำอาง และของใช้ในบ้าน
ล่าสุดสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ชี้ช่องบอกถึงโอกาสในการส่งออกสินค้ากลุ่มวัตถุดิบอาหารเข้าสู่ตลาดอินเดีย อาจส่งออกได้เพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะสินค้าที่อินเดียมีแผนเตรียมลดภาษีนำเข้าตั้งแต่ พ.ค.2565 เป็นต้นไป และเป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารในอินเดีย เช่น น้ำมันปาล์มดิบที่ลดจาก 7.5% เหลือ 5% ถั่วพิสตาชิโอลดจาก 30% เหลือ 10% อินทผลัมจาก 30% เหลือ 20% ส้มและมะนาวจาก 40% เหลือ 30% เม็ดมะม่วงหิมพานต์จาก 30% เหลือ 2.5% และบิสกิตและเวเฟอร์จาก 45% เหลือ 30% นอกจากนี้ ราคาของกาแฟที่แพงขึ้น อาจเป็นโอกาสของไทยในการส่งออกเพื่อทำตลาดระดับบนในช่วงนี้ด้วย
ทั้งนี้ ในการทำตลาดในอินเดีย ผู้ผลิตและผู้ส่งออกสามารถสำรวจราคาของคู่แข่งในตลาดอินเดียผ่านแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ได้ เช่น amazon.in โดยดูจากราคาสูงสุดสำหรับการขายปลีก (MRP) ที่ระบุไว้ที่ฉลาก
โดยจะเป็นราคาที่ครอบคลุมถึงค่าบรรจุภัณฑ์และค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมตลาด ส่วนต่างกำไรของผู้ผลิต (ประมาณ 20%) ค่าขนส่งและจัดเก็บ (ประมาณ 6%) ส่วนต่างกำไรของตัวแทนจำหน่าย/กระจายสินค้า (Stockist Margin ประมาณ 10%)
...
ส่วนต่างกำไรที่ร้านค้าส่งและค่าปลีก (ประมาณ 20%) เพื่อประเมินในเบื้องต้นว่าราคาของสินค้าไทยเมื่อรวมค่าขนส่ง ภาษีนำเข้า และภาษี GST แล้ว จะสามารถแข่งขันกับรายอื่นได้หรือไม่ เนื่องจากคนอินเดียส่วนใหญ่มีความอ่อนไหวในราคา รวมทั้งนำไปวางแผนปรับต้นทุนสินค้าเพื่อเข้าสู่ตลาดอินเดีย.
สะ-เล-เต