เลขาสปสช. เผย 21 ก.พ. วันเดียว มีผู้โทรเข้า 1330 สูงถึง 49,005 สาย แนะเพิ่มไลน์แอด สปสช. แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อไม่ต้องรอสาย เผย 1 มี.ค. เตรียมกระจาย ATK ให้กลุ่มเสี่ยงตามร้านยา

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565 เมื่อเวลา 14.20 น. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า การรักษาผู้ป่วยโควิด ยังยืนยันตามสิทธิ์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนในอนาคตหากมีการปรับระบบออกจากโรคฉุกเฉิน จะทำให้ผู้ป่วยกลับไปรับบริการตามหน่วยที่ลงทะเบียนไว้หรือไม่ ขอยืนยันว่าโควิด-19 สามารถเข้ารับบริการได้ทุกที่ เช่นเดียวกับโรคอื่นๆ ยังสามารถรับบริการปฐมภูมิได้ทุกที่ ซึ่งเป็นนโยบายยกระดับบัตรทอง โดยขอย้ำว่าระบบ UCEP โควิดยังรักษาได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็น Home Isolation, Community Isolation รวมถึงใน Hospitel และโรงพยาบาล โดยระบบจะเข้าไปดูแลค่าใช้จ่ายให้

ส่วนช่องทางการติดต่อ 1330 ที่ไม่สามารถติดต่อได้ นพ.จเด็จ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2565 มีผู้โทรเข้ามาสูงเป็นประวัติการณ์ จำนวน 49,005 สาย ในรอบ 24 ชั่วโมง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉลี่ยที่เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา คือ 2-3 หมื่นราย โดยเมื่อวานนี้ (21 ก.พ. 2565) เพิ่มเจ้าหน้าที่ในการรับสายอีก 150 คน แต่ก็ยังมีสายรอประมาณ 50 สายทุกๆ ครั้งที่โทร จึงแนะนำประชาชนแอดไลน์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อไม่ต้องรอสาย

...

ขณะที่การคัดกรอง ในเดือนมีนาคมจะปรับปรุงระบบการคัดกรองเพิ่มเติม และในวันที่ 1 มีนาคมนี้จะกระจาย ATK ไปตามกลุ่มเสี่ยงตามร้านยา แต่ประชาชนยังสามารถคัดกรองได้ทุกที่ เช่น เบิก ATK มาตรวจเอง หรือไปยังหน่วยบริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย กรณีตรวจ ATK แล้วเป็นบวก ให้ติดต่อหน่วยบริการ หากติดต่อไม่ได้ให้ติดต่อผ่านไลน์ สปสช. และเว็บไซต์ สปสช. เพื่อกรอกข้อมูล ส่งผลตรวจ

ด้าน ร.อ.นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ทบทวนการใช้ UCEP โควิดไปก่อน ทาง สพฉ.ก็มีความพร้อมให้การอธิบายประชาชนให้เข้าใจ ส่วนข้อกังวลหากติดเชื้อแล้วจะรักษาอย่างไร ให้โทรติดต่อผ่าน 1330 หรือไลน์แอดของ สปสช. หากได้รับยาแล้วอาการแย่ลง เหนื่อย หอบ ไข้ขึ้นสูง หรือไม่มั่นใจว่าเป็นอันตรายต่อชีวิต ให้โทรไปที่หมายเลข 1669 ทางศูนย์จะพิจารณาไปรับผู้ป่วยส่งตามรักษาพยาบาลตามคำแนะนำของ สปสช. โดยต้องสอดคล้องกับกองทุนที่จะต้องตามจ่าย ในช่วงนี้จำนวนเคสใน กทม.ยังไม่มากนัก หากมีเคสจำนวนมากใน กทม. ก็จะจัดทีมเหมือนปีที่ผ่านมา เพื่อเตรียมทรัพยากรมาดูแลประชาชน และดูแลประชาชนให้มากที่สุด.