น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีนโยบายแก้ไขหนี้ครูมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ก.พ.65 ที่ผ่านมา ได้เปิดโครงการ “สร้างโอกาสใหม่ให้ครูไทย” เปิดให้ครูและบุคลากรทางศึกษาเข้ามาลงทะเบียนผ่านออนไลน์เพื่อแจ้งความประสงค์ ในการเข้าสู่ขั้นตอนกระบวนการเพื่อการแก้ไขปัญหาหนี้ รอบแรกลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 14 ก.พ.-14 มี.ค.2565 หลังเปิดให้ลงทะเบียน 2 วัน มีผู้มาลงทะเบียนไม่น้อยกว่า 7,364 ราย เป้าหมายการดำเนินงานครั้งนี้ เป็นแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินครูในภาพรวมอย่างเป็นระบบ ยุบยอดหนี้ให้ลดลง หรือลดภาระหนี้โดยรวมของครูให้น้อยลง รวมถึงการช่วยบริหารจัดการทางการเงินให้ครูมีรายได้ไม่น้อยกว่า 30% ของเงินเดือนในการใช้จ่าย อีกทั้งทำให้ครูมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพทางการศึกษาและยังเป็นการสร้างฐานข้อมูล ศธ. เกี่ยวกับภาระหนี้สินครู โดยร่วมมือกับผู้เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ครูที่มีหนี้สินทุกคนในสหกรณ์ออมทรัพย์ แนวทางในการช่วยเหลือคือการลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงอยู่ระหว่าง 0.05-1.00% ขณะนี้มีสหกรณ์เข้าร่วมโครงการนี้แล้วรวม 70 แห่ง จากสหกรณ์ทั้งหมด 108 แห่งทั่วประเทศ มีสหกรณ์ 10 แห่ง ที่ลดดอกเบี้ยลงเหลือต่ำกว่า 5% การแก้ไขหนี้ครูครั้งนี้จะมีครูได้รับประโยชน์มากถึง 460,000 คน นอกจากนี้ ศธ.ยังได้หารือและได้รับความร่วมมือจากธนาคารออมสิน ในการชะลอการดำเนินการทางกฎหมายกับครูที่เป็นหนี้เอ็นพีแอลอีก 25,000 ราย
น.ส.ตรีนุชกล่าวว่า กรณีที่ครูต้องการเงินกู้ในส่วนนี้จะมีคณะกรรมการพิจารณาและควบคุมการอนุมัติเงินกู้ โดยได้รับความช่วยเหลือจากเครดิตบูโรเชื่อมต่อระบบข้อมูล เพื่อควบคุมยอดหนี้ไม่ให้มากกว่า 70% ของรายได้ หากตรวจพบว่าครูที่ต้องการกู้เงินเพิ่มเติมแต่มีหนี้รวมมากกว่า 70% ก็จะไม่ได้รับการอนุมัติให้กู้เพิ่ม กรณีครูมีปัญหาทางการเงินไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้ได้ต้องปรับโครงสร้างหนี้ จะมีสถานีแก้หนี้ 2 ระดับ เพื่อไกล่เกลี่ย หรือประนอมหนี้หรือปรับโครงสร้างหนี้
...
“นอกจากปรับโครงสร้างหนี้แล้ว สามารถให้ครูนำเงินอนาคตมาใช้เป็นหลักทรัพย์ในการค้ำประกันเงินกู้ได้ เช่น เงินบำเหน็จตกทอด เงิน ชพค. ซึ่งมีประมาณ 900,000 บาทต่อคน ใช้ปรับโครงสร้างหนี้ ทั้งนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีเงินหุ้นสหกรณ์ หากขาดส่งมากกว่า 3 เดือน จะเสียสิทธิประโยชน์ก็จะมีการแก้ไขโดยให้หักเงินค่าหุ้นสหกรณ์เป็นลำดับต้น” รมว.ศธ.กล่าว.