ช้างรุกบ้านคน หรือคนรุกบ้านช้าง อาจเป็นคำถามคาใจของหลายคนมานาน ทั้งๆที่รู้คำตอบ แต่พอเอาเข้าจริงๆ คนนั่นล่ะที่ไม่ยอมรับความจริง

ข้อมูลและภาพจากเพจเฟซบุ๊ก “ห้วยขาแข้งสืบสาน” ตีแผ่เรื่องราวของ “ช้าง” ที่เชิญชวนให้คนเข้าใจอย่างถ่องแท้

เริ่มจากการนำภาพการหยุดพักนอนของช้างโขลงในจีนที่ถูกแชร์ต่อๆกันมาในเฟซบุ๊กเป็นภาพลูกช้างนอนตะแคงกองทับกัน ในเขตอนุรักษ์ของมณฑลยูนนาน ทางตอนใต้ของจีน ถ่ายจากมุมสูงด้วยโดรน ซึ่งเห็นภาพนี้แล้ว เดาเอาว่าบรรดาลูกช้างเหล่านี้น่าจะเหนื่อยล้าจากการเดินทางเต็มที

การเดินทางไกลขึ้นเหนือกว่า 500 กม. จนไปถึงแถวๆ จินหนิง ริมเขื่อนใหญ่ทางใต้ของคุนหมิง มองให้ลึกเป็นเรื่องน่าสะเทือนใจ เพราะพวกมันอาจไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางและอาจต้องจบชีวิตลงที่เขื่อนยักษ์

รศ.นริศ ภูมิภาคพันธุ์ แห่งคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ซึ่งมีประสบการณ์เดินทางไปดูงานในพื้นที่อนุรักษ์ Mengyang Nature Reserve ซึ่งเป็นพื้นที่ของเขตอนุรักษ์นี้ เป็นภูเขาสูง มีป่า เบญจพรรณ ป่าไผ่ปกคลุม ในหน้าแล้งจะแห้งแล้งจัด ร้อนแล้งขนาดไหน จินตนาการเองว่าร้อนกว่าเชียงใหม่ บวกห้วยขาแข้งตอนกลางเดือนมีนาคม

พื้นที่ดังกล่าวยังมีช้างป่าและเป็นถิ่นฐานของช้างป่าฝูงที่กำลังโด่งดังในภาพนี้ เล่าถึงการเดินทางไกลของช้างป่าที่ยูนนานว่า ช้างฝูงนี้ออกเดินทางกันมาตั้งแต่มีนาคมปีที่แล้ว และแม้จะขึ้นเหนือ แต่พวกมันก็ไม่ได้เดินมั่วๆ สะเปะสะปะ เพราะสภาพภูมิประเทศของยูนนานมีแต่ภูเขาสูงตระหง่าน พล็อตตามตำแหน่งเส้นทางที่ช้างเดิน ก็พบว่าเลาะไปในหุบลำน้ำใหญ่ ซึ่งก็คือลำน้ำโขง เจ้าหน้าที่ทางการจีนที่ติดตามก็บอกไม่ได้ชัดว่าพวกมันกำลังจะเดินไปไหน และไปทำไม

...

ช้างป่าเหล่านี้กระจายอยู่เป็นโขลงขนาดเล็ก หลบตามหย่อมป่าที่ราบนอกพื้นที่คุ้มครองซึ่งมีแหล่งน้ำและอาหาร แต่สภาพพื้นที่ราบก็ถูกชาวบ้านเข้ามาทำเกษตร และตั้งถิ่นฐานจนหมดสิ้นแล้ว สภาพช้างป่าที่ยูนนานคล้ายกับช้างป่าในประเทศไทย คงอยู่อย่างยากลำบาก เพราะถูกมนุษย์เอาเปรียบมากๆ

“ในปี 1976 มีพื้นป่าสำหรับช้างป่า 2,084 ตร.กม. การประเมินประชากรช้างป่าในจีน เมื่อปี 1980 พบช้าง 170 ตัว แต่ในปัจจุบัน ในปี 2021 ซึ่งสภาพพื้นที่มีเหลือเฉพาะเขตภูเขา เพียง 500 ตร.กม. สำหรับช้างป่า 300 ตัว” รศ.นริศบอกและว่า สภาพการณ์เช่นนี้ ไม่น่าประหลาดใจที่ช้างจะพาฝูงและลูกเล็กออกเดินทางไกลขึ้นเหนือ แต่ที่น่าเศร้าคือ เส้นทางที่กำลังมุ่งหน้าไปนั้นพวกมันหารู้ไม่ว่าจะไปสิ้นสุดลงที่เขื่อน

ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ ช่างภาพแนวสัตว์ป่าและธรรมชาติชั้นครู เจ้าของรางวัล Explorer Awards 2019 นิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก เคยพูดถึงการเดินทางของช้างป่าว่า ไม่ใช่ช้างโขลงแห่งยูนนานเท่านั้นที่รอนแรมขึ้นเหนือ หลายสิบปีมาแล้วช้างจากป่าเขาอ่างฤาไน ก็พยายามหาทางกลับมาเยี่ยมญาติที่เขาใหญ่

เรื่องนี้ไม่ใช่ตำนานลึกลับ หากเป็นวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการติดตามศึกษาวิจัยย้อนกลับไปถึงพฤติกรรม และความพยายามจะเดินออกจากป่ารอยต่อห้าจังหวัด ที่คนชอบคิดว่าจะออกมาทำไม ช้างมันควรอยู่ในป่าสิ

งานวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2019 ในชื่อยาวๆว่า Quantifying landscape connectivity for wild Asian elephant populations among fragmented habitats in Thailand แปลเล่นๆว่า การเชื่อมต่อถิ่นอาศัยที่แตกเป็นชิ้นๆในประเทศไทยเพื่อรองรับประชากรช้างป่า โดย ดร.วรงค์ สุขเสวต, รศ.ดร.ประทีป ด้วงแค และ อิงอร ไชยเยศ มีข้อความระบุชัดว่า

“ความจริง ช้างอ่างฤาไนเดินมาถึงเขาใหญ่แล้ว แต่คนไปไล่มันกลับ....”

รศ.ประทีป ด้วงแค อธิบายให้ฟังชัดๆว่า พวกช้างป่าออกเดินไปมาหาสู่กันตามแรงผลักของสัญชาตญาณ และป่าอ่างฤาไนกับเขาใหญ่ดงพญาเย็นนั้น ก็เชื่อมถึงกันมาก่อนด้วยป่าบนที่ราบ ถ้าวัดระยะทางจากดาวเทียม จากเขาอ่างฤาไน ขึ้นเหนือไปยังกลุ่มป่าดงพญาเย็นที่กินยาวมาทางตะวันออก เขาใหญ่ ทับลาน ปางสีดา ตาพระยา ระยะทางก็แค่ 60 กม.เท่านั้น ข้ามจังหวัดฉะเชิงเทรา เฉียดสระแก้วปราจีนบุรี เดินสองสามวันก็ถึงแล้ว ระยะทางแค่นี้ไม่น่าจะพอกับแรงผลักของความคิดถึง ระดับช้าง

...

แต่ปัญหาคือ ผืนป่าในที่ราบเหล่านั้นเพิ่งจะขาดจากกัน กลายสภาพมาเป็นไร่มัน บ้านคน และ ทางหลวงเมื่อไม่ถึงร้อยปีมานี้เอง ไม่ได้นานเป็นแสนเป็นล้านปี

“เวลาแค่นั้น สำหรับช้าง มันแค่ชั่วไม่ถึงสองรุ่น ปู่เรายังเคยพาพ่อเดินไปหากันอยู่เลย พอรุ่นพ่อจะพาลูกไปเดินหาญาติเหมือนที่เคยไป คราวนี้เขาไม่ยอมให้เราไป...”

ในทางวิชาการ การเดินทางไกลๆเป็นแรงผลักของธรรมชาติที่จะทำให้สายพันธุ์เข้มแข็ง ถ้าพวกช้างไม่ออกเดินทางก็จะเกิดภาวะเลือดชิด สายพันธุ์ก็จะอ่อนแอ เพราะผสมกันเองในฝูง ต้องออกไปหาบ้านเพิ่ม ไปเติมความหลากหลาย การไปมาหาสู่แลกเปลี่ยนกันจึงเป็นเรื่องปกติที่จำเป็น

ช้างอยู่ในที่ราบมาโดยตลอด อย่างน้อยในสมัย ร.5 ที่ช้างจากเขาใหญ่ยังมาถึงทุ่งรังสิต คนที่เรียนด้านสัตว์ป่าทุกคนรู้ แต่มนุษย์เราผลักช้างให้ขึ้นไปอยู่บนเขา พอมันจะลงมา ก็ไล่ ช้างก็พยายามจะลงให้ได้ เราก็คอยตั้งหน้าตั้งตาไล่ และสถานการณ์เช่นนี้ ก็มีแนวโน้มที่จะทวีความเข้มข้นขึ้น หากไม่มีการค้นหาความจริงว่าทำไม แล้วมีทางออกที่ดีทั้งสองฝ่ายได้อย่างไร ถ้ามีใครสักคนถามว่า ทำไมเมื่อก่อนไม่เห็นออกมา คำตอบก็เห็นได้ชัดๆว่า สมัยก่อนนั้น ถ้าช้างออกมาเมื่อไหร่เป็นถูกยิงตายเมื่อนั้นเลยไม่มีใครรอดออกมาได้

ก่อน พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2503 การเห็นสัตว์ป่าแล้วยิงเลยเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มีทรรศนะที่เปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีใครคิดว่าการล่าสัตว์เป็นเรื่องปกติธรรมดาอีกต่อไป ไม่ใช่แค่ผลมาจากมาตรการด้านอนุรักษ์ที่เข้มแข็งขึ้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่กระบวนทัศน์ก็เปลี่ยนไปด้วย แม้ว่าจะมีข่าวร้าย คือ การคุกคามสัตว์ป่าได้เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นอย่างอื่นแทน

เมื่อออกจากป่ามาแล้วไม่ตาย พวกช้างก็เลยดิ้นรนเพื่อที่จะออกเดินทางอีกครั้ง จนกลายเป็นเอาเถิดเอาล่อ ยิ่งป่าใหญ่ในที่ราบที่เคยมีอยู่ได้กลายเป็นไร่สุดลูกหูลูกตา เป็นแหล่งอาหารพวกแป้ง น้ำตาล ให้พลังงานสูง แถมยังมีความ “อูมามิ” จากกลูตาเมตให้กินอีก การออกมาของช้างก็เลยยิ่งทวีความซับซ้อน หากแต่ความจริงที่สำคัญที่สุดก็คือ การที่ช้างพยายามดิ้นรนออกมา มันไม่ได้แค่อยากหาอะไรอร่อยๆกินเท่านั้น แต่พวกมันกำลังเพียรหาทางกลับไปเยี่ยมญาติ เยี่ยมเพื่อนที่ป่าทางเหนือที่บรรพบุรุษเคยไปมาหาสู่กันมาเนิ่นนานต่างหาก

...

งานวิจัยชิ้นที่พูดถึงจึงศึกษาความเป็นไปได้ของการเชื่อมต่อป่าผืนใหญ่เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ป่าที่แตกเป็นชิ้นๆกลายเป็นทางเดินต่อๆกัน มีจุดให้แวะ มีอาหารให้กินเป็นระยะๆ

หากบนเส้นทางนี้ไปหยุดแวะกินที่ไร่ใคร ก็อาจชดเชยความเสียหายเต็มจำนวนให้กับชาวไร่ ซึ่งตามหลักปฏิบัติ กรมบัญชีกลางก็ได้จัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยในเรื่องนี้อยู่แล้ว และบนเส้นทางที่มีช้างป่ากำลังเดินทางไกลตามเสียงเรียกของหัวใจ จะกลายเป็นรูทให้นักท่องเที่ยวมาแวะชมกันยาวๆไม่ได้เชียวหรือ คงน่าตื่นตาตื่นใจกว่าได้เห็นแต่ช้างแท็กซี่ หรือช้างในที่เลี้ยง...สำหรับประเทศที่ทำมาหากินกับการท่องเที่ยวอยู่แล้ว การปลูกผลผลิตให้ช้างมากิน ก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อปุ๋ย ซื้อยา ใส่ยาฆ่าหญ้าอีกต่างหาก

ดร.วรงค์ สุขเสวต หนึ่งในทีมวิจัย บอกว่า “มันมีสิ่งที่เรียกว่า Circuit Theory เป็นนวัตกรรมที่นำมาประยุกต์ใช้ในการกำหนดทางเชื่อมป่า เปรียบเทียบให้ “ช้างป่า” เป็น “อิเล็กตรอน” แผนที่ประเทศไทยเป็นแผงวงจร “ช้าง” หรือ “อิเล็กตรอน” จะเลือกเคลื่อนที่ไปตามจุดที่มีแรงต้านทานน้อยที่สุด แนวคิดเรื่องนี้วิศวกรเป็นคนคิด พวกเรียนสัตว์ป่าเอาปรับใช้ ช้างหรือสัตว์ป่าจะไม่เดินมั่วซั่ว แต่จะไปตามทางที่เบา เดินสบาย แรงต้านทานน้อยที่สุด ฉะนั้น ถ้าปล่อยให้ช้างเดินจากอ่างฤาไนไปเยี่ยมญาติที่เขาใหญ่ เราก็จะเห็นคอร์ริดอร์ หรือทางเชื่อมต่อผืนป่าที่เป็นจริงที่สุดที่จะเป็นบุญของสัตว์ป่า และไกลกว่านั้น เขาใหญ่ดงพญาเย็นไม่ใช่แค่กลุ่มป่าทางภาคตะวันออกของไทยต่อกับทิวเขาสันกำแพงและพนมดงรักเท่านั้น แต่ทางเหนือยังเชื่อมกับทิวเขาเพชรบูรณ์ไปถึงกลุ่มป่าภูเขียว น้ำหนาว จากทิวเขาเพชรบูรณ์ เหนือขึ้นไปอีกก็คือทิวเขาหลวงพระบาง ซึ่งก็เชื่อมต่อกันมาจากลาวเหนือ เลยขึ้นไปอีกนิดก็สิบสองปันนา ยูนนาน คุนหมิงแล้ว

...

ดีไม่ดี โขลงสิบกว่าตัวที่กำลังรอนแรมอยู่ในเมืองจีนกับเจ้าช้างที่เอาเถิดเอาล่อกับพี่ชุดพรางแถวๆ อ่างฤาไน อาจเป็นญาติกันมาก่อนเมื่อนานมาแล้วก็ได้

มนุษย์ยังแสวงหาทางไปพบปะญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง แต่สำหรับช้าง เพียงแค่มันพูดหรือพร่ำบ่นไม่ได้ ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีหัวใจใฝ่หาถึงกันและกัน

บางทีโลกที่เจริญมากๆ อาจเป็นมนุษย์ต่างหากที่ต้องทบทวนตรรกะความคิดและความเชื่อมโยง ไม่ใช่สัตว์ป่าที่ถูกรุกรานจากมนุษย์ใจร้ายมานานหลายชั่วอายุคน.