นายแพทย์โอภาส ชี้ ใส่หน้ากากอนามัย 3 ชั้นไม่ช่วยอะไร แค่ 2 ชั้นก็เพียงพอ พบสถิติอาการข้างเคียงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากการฉีดวัคซีนในเด็กน้อยกว่าเด็กโต เชื่อโควิดกำลังจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น
วันที่ 29 ธันวาคม 2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ยังตอบคำถามสื่อมวลชนเรื่องการใส่หน้ากาก 3 ชั้น ว่า การใส่แค่ 2 ชั้น เป็นหน้ากากผ้า และหน้ากากอนามัย ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว เพราะหน้ากากอนามัยก็มีหลายชั้น ดังนั้นการใส่ 3 ชั้น อาจจะไม่ได้ช่วยอะไร มีแต่จะเพิ่มความอึดอัด จึงขออย่าเพิ่งวิตกกังวล โดยที่ผ่านมาคนไทยยังร่วมมือใส่หน้ากากอนามัยเป็นอย่างดี แต่ขออย่าใส่หน้ากากอนามัยไว้ใต้คาง
ขณะที่เรื่องผลข้างเคียงการฉีดวัคซีนในเด็ก พบว่า การฉีดไฟเซอร์ให้เด็กอายุ 5-11 ปี จะใช้ขนาดที่น้อยกว่าผู้ใหญ่ถึง 1 ใน 3 ดังนั้นผลข้างเคียงจึงค่อนข้างปลอดภัยสำหรับเด็ก และที่ผ่านมาที่ไทยมีการฉีดให้เด็กอายุ 12-17 ปี ที่ฉีดไป 7-8 ล้านโดส อาการข้างเคียงโดยทั่วๆ ไปพบได้แต่ไม่เป็นอันตราย ส่วนภาวะที่เกิดขึ้นจากวัคซีนไฟเซอร์ หรือ mRNA อื่นๆ คือ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งทางกรมเจอประมาณ 20 กว่าราย ส่วนใหญ่อาการน้อย ยังไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนข้อมูลการฉีดวัคซีนในเด็ก 5-12 ปีของต่างประเทศ พบว่าเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบน้อยกว่าวัคซีนที่ฉีดในเด็กโตทั่วไป อย่างไรก็ตามต้องติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด ส่วนในไทยยังเป็นการฉีดให้ตามความประสงค์ของผู้ปกครอง ไม่มีการบังคับ
ส่วนโอมิครอนจะกลายมาเป็นสายพันธุ์หลักในไทยหรือไม่ นายแพทย์โอภาส ระบุว่า มีความกระจายเร็ว แต่ความรุนแรงค่อนข้างน้อย ปัจจุบันมีการแพร่ไปทั่วโลก ดังนั้นการจะกำจัดเชื้อโรคเป็นไปได้ยาก แต่หากเชื้อมีการปรับสมดุลจนอยู่กับคนได้ คือความรุนแรงจะต้องลดลง และคนต้องอยู่กับเชื้อโรคได้ คือ ติดเชื้อแต่ไม่ตาย แต่ยังแพร่เชื้อได้ระดับหนึ่ง ก็พบว่าแนวโน้มคนมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น และเริ่มมีการปรับให้อยู่กันได้ เชื่อว่าอีกไม่นานมันจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น ส่วนประเป็นสายพันธุ์ไหนอยู่ที่การกลายพันธุ์ จึงขออย่ากลัว เพราะผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ 608 ดังนั้นขอให้รีบไปฉีดวัคซีนให้ครบ 3 เข็ม เพื่อให้เรามีความปลอดภัยมากขึ้น.
...