“ไทยเที่ยวไทย”...ปีนี้ 60 ล้านคนต่อครั้ง ทว่ารัฐฯ ดูไม่สู้จะ “ตื่นเต้น”...“ตื่นตัว” ผิดกับตัวเลขที่ต่างชาติเข้ามา...โอ้โห! ยังกับ “กิ้งก่าได้ทอง” ตามสุภาษิตไทย ดีไม่ดีพกเอา “โอมิครอน” มาด้วย?
ต่อเนื่องด้วยคาดการณ์ว่าปีหน้า 2565 ปีขาล...จะมีต่างชาติหลงเข้าไทยกลางพิษโควิด 18 ล้านคน ใช้จ่ายเงิน 8 แสนล้านบาท และปีต่อๆไป...เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่ “หน่อมแน้ม” เสียก่อน
ผู้สันทัดกรณีตลาดท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ มากประสบการณ์ มองว่า เอาเถอะ...ไหนๆก็เปิดประเทศแล้ว เงินสกุลต่างประเทศกู้เศรษฐกิจได้มาแล้ว เราจะเก็บรายได้เหล่านี้ให้หมุนเวียนภายในประเทศได้อย่างไร?...อันนี้สิเป็นคำถามสำคัญ...น่าถาม?
ตามนโยบายส่งเสริมท่องเที่ยวเพื่อหาเงินตราต่างประเทศ ต้องไม่ลืมแชร์นักท่องเที่ยวบ้านเราออกไป...ไม่เอาเปรียบซึ่งกันและกัน ผลก่อนหน้าเราได้ต่างชาติ 40 ล้านคน ทำรายได้เกือบ 3 ล้านล้านบาท คนไทยออกนอกประเทศ 12 ล้านคน เสียดุลไป 4.4 แสนล้านบาท
...
ที่เหลือกว่า 2 ล้านล้านบาท...มีเหาฉลามเกาะกินแยกไม่ออก ภาพสะท้อนที่เห็นได้ชัด...คือ “ทัวร์จีน” ที่เนื้อหอมกับ “ตลาดไทย”... ซื้อวอชเชอร์ทัวร์ (Voucher Tour) ด้วยเงินสดจากเมืองจีนมาเที่ยวบ้านเรา
พักโรงแรมจีน กินอาหารจีน ใช้บริการนำเที่ยวทัวร์จีน ธุรกิจทุกชนิด โดยใช้วอชเชอร์ที่ซื้อจากบ้านตัวเอง เหลือแต่เศษกระดูกให้คนไทย แต่... ใช้ทรัพยากรท่องเที่ยวไทยมูมมาม
นี่เพียงจีนตลาดเดียว...ยังไม่เปิดแพรคลุมป้ายรัสเซีย อินเดีย และอีกหลายประเทศ
หากยังพอจำกันได้ ครั้งหนึ่ง...ปัญหาที่ถือเป็นอาจมหมักหมมไว้นาน คือ “ร้านจิวเวลรี” ที่มีนายพลสีเขียว สีกากี? เป็นเสื้อเกราะคุ้มกันให้ “ฟันนักท่องเที่ยว” ตามใจชอบ...แต่ที่สุดก็ขุดหลุมฝังเพราะโควิด
ล่าสุด...เป็นคิวเจ้าของโรมแรมที่ชีช้ำ เพราะถูกโจรต่างชาติปล้นเชิงนโยบายไร้ความผิด มีอิทธิพลทางตลาดกุมโรงแรมเล็กใหญ่ไว้ในมือทั่วประเทศ...โดยประหนึ่งว่ามี “รัฐ” หนุนใต้ปีกอย่างเปิดเผย?
โจรที่ว่านี้สะท้อนมาจากการฉวยดึงเงินออกจากมือ และ “โจร” กลุ่มนี้เป็นธุรกิจยุคแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่สามารถคุมบังเหียนธุรกิจแทนเครื่องมือยุคพระเจ้าเหา และเป็น “ตัวกลาง” ระหว่าง “ผู้ประกอบการ” กับ “ผู้บริโภค” โดยมีผลตอบแทนเป็นคอมมิชชัน “ส่วนแบ่ง” ตามแต่ตกลงกัน... ราวกับว่า “จับเสือมือเปล่า”
เพราะไม่ต้องลงทุนสร้างสินค้าคือ “โรงแรม” แต่สามารถนำเสนอขายได้โดยมีผลประโยชน์ร่วม เช่น การจองห้องพัก การจัดปาร์ตี้ เวทีเปิดประชุมสัมมนา รถ...เรือเช่า ตั๋วเครื่องบิน สากกะเบือยันเรือรบ... โดยธุรกิจต้นทางเป็น “เจ้าของกิจการ” อยู่ในตลาดหลักทรัพย์อเมริกา
แล้วค่อยๆ...เติบโตมีสาขาอยู่ทั่วทุกทวีป...ใหญ่เป็น “เสือนอนกิน” อันดับ 2 ของโลก
“ไทย” อยู่ใต้พรมสาขาลูกที่บริหารโซนเอเชียทั้งหมด มีสำนักงานใหญ่อยู่สิงคโปร์ลิงก์กับบริษัทแม่ที่อเมริกา เปิดเป็นตัวบุ๊กกิ้งดัง
2 ชื่อ...คนไทยรู้จักดี บอกชื่อ “ร้องอ๋อทันที” และใช้บริการอย่างกว้างขวาง...แต่ไม่รู้กรรมวิธีดำเนินงานที่ “หมกเม็ด” ทรงอิทธิพลทางการค้าขณะนี้
ห่วงโซ่ธุรกิจข้างต้นนี้สำคัญนัก...ด้วยว่าจ้างคนไทยประจำทำหน้าที่ขายคนต่างชาติในสิงคโปร์และมาเลเซียมาไทย ส่วนในไทยก็ใช้เซลส์ “เคมีสูง” ดีลกับโรงแรมและธุรกิจที่ต้องการ “นายหน้า” ขาย
...
โดยเบื้องต้นโรงแรมจะต้องกำหนดราคาขายและผลตอบแทน เรียกว่า “ยีลด์ คอนโทรล ซิสเต็ม” ประกอบด้วยจำนวนห้องพัก ราคาขาย และโปรโมชัน ซึ่งเซลส์จะคุ้นปากกับคำว่า “หลังบ้าน” ด้วยระบบนี้เป็นโจทย์เริ่มต้นขายห้องพัก ตามข้อตกลงเรื่องส่วนแบ่งที่เป็น “ธรรม”
คือ...แบ่งเค้กจากการขายห้องละ 18% ราคา “หลังบ้าน” ซึ่งฝ่ายขายโรงแรมระบุว่ามีเอกสารสัญญาภาษาอังกฤษทำกันไว้เป็นปึ๊งๆ ไม่ต่างพันธกิจบัตรเครดิตส่วนบุคคล...ต่อจากนั้นปล่อยผีให้หลอกขาย
ด้วยเซลส์กำหนดราคาใหม่ที่สูงกว่าราคา “หลังบ้าน” อีก 10% โดยโรงแรมไม่มีวันรู้ได้
นั่นหมายถึง...ค่าคอมฯจาก “หลังบ้าน” 18%+10% จากรายได้ที่บวกเพิ่มเข้าไปอีกเท่ากับเข้ากระเป๋า 28%
ลูกค้าที่ใช้บริการบุ๊กกิ้งครั้งแรกจะโดน “อีแอบ” เปิดราคาหน้าร้านสูงกว่า “หลังบ้าน” ในบริการครั้งที่หนึ่งและสอง...พอครั้งที่สาม (ที่สองครั้งแรกไม่มีปัญหา) บริษัทบุ๊กกิ้งจะยกฐานะเป็นกลุ่ม “ไปรเวตเซลส์”
เพื่อลดราคาครั้งต่อไป...ส่วนที่ซื้อผ่านบุ๊กกิ้งอีกยี่ห้อในร่มธุรกิจเดียวกันก็จะได้รับการยกฐานะเป็นกลุ่ม “จีเนียส” เพื่อขายครั้งต่อไปเหมือนกัน
...
ทักษะแบบนี้ “รีเทล เซลส์” หรือพ่อค้าปลีกในเครือตามเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างเชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา ถือเป็นต้นแบบไม่แตกแถว... อย่างไรก็ตาม เมื่อลูกค้าว่านอนสอนง่าย ซื้อรอบที่สาม สี่ ห้า ก็จะลดลงไป 2...3 ถึง 5% ติดเพดานจำกัดที่ส่วนแบ่งจะเหลือ 28%-5% = 23%
คอนเทนต์ที่ “โจรบุ๊กกิ้ง” ใช้ปล้นเป็นเครื่องมือทางการตลาด คือ “เว็บไซต์” หัวใจสำหรับรีวิวสินค้าที่ทำให้ดูดีด้านกายภาพ โลเกชัน โปรโมชัน สิ่งอำนวยความสะดวกที่ดู “เฉียบ” โดนใจ...แต่ถ้าไม่เอะใจคิดก็จะไม่สังเกตว่า...ไม่มีช่องทางติดต่อโรงแรมได้ทั้งโทรศัพท์ อีเมล เฟซบุ๊ก นอกจาก 2 บุ๊กกิ้งนี้เท่านั้น...
กลายเป็นว่า...โรงแรมเหมือนคนตาบอดไม่มีโอกาสดีลลูกค้า แม้แต่เวลาเช็กอิน..เช็กเอาต์
ว่ากันด้วยโหมดรีวิวสินค้า เจ้าของโรงแรมรายหนึ่งเล่าให้ฟังว่า นี่เป็นช่องทางทำกินของกิจการ จะมีการเสนอวางลำดับปกให้เห็นสินค้าก่อนใครอื่น โดยเฉพาะโรงแรมคู่แข่งย่านใกล้เคียง จะทำให้เคมีจูงใจลูกค้าอันดับต้นๆ...ถ้าตกลงสรุปลงเอยจาก 18% จะบวกไปอีก 5% เท่ากับ 23%...ไม่นับอย่างอื่น
ถ้าไม่สนใจร่วมรายการชัวร์! การรีวิวก็ยัง “มี”...แต่จะร้อยอยู่ท้ายๆ ตกขอบเวทีเลยก็ว่าได้
การขายออปชันนัลที่ว่าไม่ได้จบเพียงแค่นี้...ยังแยกย่อยออกไป
...
เช่น ขายผ่านเว็บฯ เพิ่มคนซื้อมากขึ้นจ่ายอีก 2-5% ขายผ่านมือถือ 10-5% จาก 18% “หลังบ้าน”...ที่ธุรกิจโรงแรมหรืออื่นๆจำใจต้องยอมขายผ่าน เพราะนายหน้านั้น “เวิลด์ไวด์” มีสาขาทั่วโลก พร้อม “ดาต้า” ลูกค้ากว้างขวาง...ที่เมืองไทยไม่มี
เรื่องนี้เหมือนมัดมือชกแบบอ้อมๆ ถ้าอยากได้ลูกค้าก็ต้องจ่าย ปัญหานี้...เคยแก้มาแล้วโดยองค์กรท่องเที่ยวเมื่อ 10 ปีก่อน ที่คิดช่วยโรงแรมกระตุ้นนักท่องเที่ยวซื้อห้องพักโดยตรงแล้วเลิกคบกับโจรพวกนี้
ด้วย “บุ๊กกิ้ง แคมเปญ” แทนการซื้อผ่านนายหน้ากินหัวคิว...ชะลอเงินบาทไทยไหลออกนอกจากรายได้ที่หดตัวลงอย่างน่าเสียดาย ผ่านมาถึงวันนี้น่าเสียดายว่า...แคมเปญดังกล่าวถูกพับเก็บใส่ลิ้นชัก แล้วหนุนโจรกลุ่มนี้ขึ้นมาร่วมโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” อย่างเปิดเผย...แบบรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ไม่ทราบได้?
แถม...มีการถ่ายรูปแจกข่าวเย้ยบรรดาเจ้าของโรงแรมที่ตกเป็นสาวกอีก เอาเป็นว่า “เราเที่ยวด้วยกัน 3” ก็คงใช้บริการผ่านโจรคราบบุ๊กกิ้งห้องพัก และยังไม่พอ...การผลิตภาพยนตร์โฆษณาประเทศไทย เชิญชวนคนไทยเที่ยวในประเทศก็เหมือนคน “ตาบอดตาใส” ใส่โลโก้คู่กัน ระหว่างองค์กรรัฐกับธุรกิจที่ว่านี้อีกด้วย
“โรงแรมไทย” วันนี้เหมือนถูกชะตาฟ้ากำหนดให้อดรนทนสู้กันไปแบบกินน้ำใต้ศอกด้วยมีข้อครหาสำคัญที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เอาจริงๆ...“ท่องเที่ยวไทย”...กำลังเดินหน้าไปหาอนาคตใหม่เพื่อความอยู่รอด ไม่ควรที่จะมาถูกต่างชาติ “ฉก” ประโยชน์เช่นนี้.