เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2564 สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ หรือ สทป. ส่งมอบหุ่นยนต์ให้บริการทางการแพทย์ (D-EMPIR CARE) จำนวน 2 ระบบ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์ โดย พลอากาศเอก ดร.ปรีชา ประดับมุข ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เป็นประธานในการส่งมอบหุ่นยนต์ รุ่น D-EMPIR CARE และมี นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นผู้รับมอบ ณ กรมราชทัณฑ์

ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ในปัจจุบัน จำนวนผู้ป่วยในประเทศรวมถึงผู้ป่วยในทัณฑสถานเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประเทศไทยประสบกับปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ป่วย ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่สนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ดังนั้น สทป. จึงได้นำหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD Robot) รุ่น D-EMPIR V.2.1 ที่ได้ส่งมอบให้กับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน. ภาค 4 สน.) นำไปทดลองใช้งานแล้วนั้น มาดัดแปลงและปรับปรุงเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ โดยการนำองค์ความรู้ที่เกิดจากงานวิจัยทางทหารมาสร้างประโยชน์ให้เป็นเทคโนโลยีสองทาง (Dual use) ที่สามารถประยุกต์ใช้กับภาคพลเรือนได้ จึงทำให้เกิดเป็นหุ่นยนต์ รุ่น “D-EMPIR CARE” ขึ้น

สำหรับหุ่นยนต์ รุ่น D-EMPIR CARE ที่ สทป. ได้ออกแบบขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากร ทางการแพทย์ สามารถสั่งการได้แบบไร้สายระยะไกล ใช้สำหรับบรรทุกอาหาร ยา เวชภัณฑ์ สิ่งของเพื่อส่งให้ผู้ป่วย พร้อมทั้งติดตั้งกล้อง ไมโครโฟน รวมถึงจอมอนิเตอร์ โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ป่วย เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งหุ่นยนต์ รุ่น D-EMPIR CARE ที่ได้ถูกพัฒนาขึ้นจากหุ่นยนต์ รุ่น D-EMPIR V.2.1 เคยถูกนำไปทดลองใช้งานแล้วในโรงพยาบาลสนาม ภายใต้ความรับผิดชอบของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และโรงพยาบาลบุษราคัม โดยการใช้งานหุ่นยนต์ D-EMPIR CARE นั้น สามารถสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความสะดวก ความปลอดภัย และลดความเสี่ยงของบุคลากรทางการแพทย์ที่จะต้องสัมผัสใกล้ชิดและยังสามารถรักษาผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที โดยหุ่นยนต์ D-EMPIR CARE มีคุณสมบัติที่สำคัญ ดังนี้

  • ระบบขับเคลื่อนด้วยล้อสายพาน สามารถข้ามสิ่งกีดขวาง เช่น สายไฟ รองเท้า หิน หรือท่อนไม้ได้
  • มีกล้องดิจิทัลความคมชัดแบบ Full HD และเซอร์โวมอเตอร์ที่ทำให้สามารถควบคุมและหันกล้องไปในทิศทางที่ต้องการได้
  • มีหน้าจอแบบ HDMI ลำโพงและไมโครโฟนสำหรับการสนทนาพูดคุยผ่าน VDO Call
  • มีชั้นวางที่สามารถรับน้ำหนักได้ถึง 20 กิโลกรัม
  • สามารถสื่อสารได้แบบ 5G และควบคุมระยะไกลได้ทุกที่ที่มีสัญญาณโทรศัพท์
  • ใช้งานได้ไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง

พลอากาศเอก ดร.ปรีชา ประดับมุข ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ทาง สทป. เล็งเห็นว่าบุคลากรทางการแพทย์ มีความสำคัญต่อสถานการณ์นี้เป็นอย่างมาก สทป. จึงมุ่งมั่นวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่มีอยู่เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ช่วยลดความเสี่ยงในการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย โดยการนำหุ่นยนต์ รุ่น “D-EMPIR V.2.1” ภายใต้โครงการวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิด ที่ใช้ทางการทหารมาสร้างประโยชน์ให้เป็นเทคโนโลยีสองทาง (Dual use) มาปรับปรุงและพัฒนาหุ่นยนต์ในชื่อ รุ่น D-EMPIR CARE ที่ใช้ในโรงพยาบาลสนาม ภายใต้ความรับผิดชอบของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และโรงพยาบาลบุษราคัม โดยทาง สทป. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหุ่นยนต์ดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อบุคลากรทางการแพทย์ และสร้างความปลอดภัยให้กับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ได้อย่างสูงสุด

สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ให้บริการทางการแพทย์ (D–EMPIR CARE) ของ สทป. นั้น จะเป็นนวัตกรรมที่สามารถสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ได้เป็นอย่างดียิ่ง และทาง สทป. จะไม่หยุดยั้งการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ให้บริการทางการแพทย์เพียงเท่านี้ แต่จะนำองค์ความรู้มาสร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ สทป. มีอยู่เพื่อพัฒนาต่อยอดช่วยเหลือและสนับสนุนหน่วยงานทางการแพทย์ต่อไป เพื่อเป็นเครื่องยืนยันถึงศักยภาพความพร้อมในการสร้างความมั่นคงให้กับประเทศและสร้างความปลอดภัยให้กับประชาสังคมโดยรวม เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม (Value-Based Economy) สู่อุตสาหกรรมป้องกันประเทศสร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทยในอนาคตอีกด้วย.