ก็ไม่รู้ดวงชะตาของบ้านเมืองในช่วงนี้เป็นอย่างไรหนอ? มีแต่ข่าวคราวที่ทำให้โศกเศร้าเสียใจจากการสูญเสียบุคคลที่ล้วนมีคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติในด้านต่างๆวันแล้ววันเล่า

ผมเพิ่งจะเขียนถึงการจากไปของนักร้องทั้งลูกทุ่ง ลูกกรุง และครูดนตรีที่สร้างความสุขให้แก่คนไทยและสังคมไทยถึง 3 ท่าน ผ่านคอลัมน์นี้ ตลอด 2-3 วันที่แล้ว

ก่อนเขียนต้นฉบับวันนี้ก็อ่านเจอข่าวเศร้าอีกแล้ว เมื่อสำนักข่าวออนไลน์ทุกสำนักรายงานว่า ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือท่านใหม่ ทรงโพสต์ข้อความไว้ในเฟซบุ๊กของท่านด้วยข้อความดังต่อไปนี้

“18 ตุลาคม 2564 มาพร้อมกับข่าวร้ายกับการจากไปของพี่ชายที่รักและเคารพนับถือ ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ผู้ซึ่งชีวิตมีแต่งานไม่ว่า เป็น มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง มูลนิธิปิดทองหลังพระ ฯลฯ และก่อนหน้านั้น คุณชายดิศนัดดาเป็น ราชเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี...รู้สึกเศร้าจนไม่อยากเขียนอะไร”

ผมเองเมื่ออ่านโพสต์ของท่านใหม่จบลง ก็เกิดความรู้สึกเช่นเดียวกับท่าน...คือ เศร้าจนไม่อยากจะเขียนอะไร เช่นเดียวกัน

ต้องตั้งสติทำใจอยู่เป็นเวลานานกว่าจะสามารถหยิบปากกาขึ้นมาเขียนถึง ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ได้ในที่สุด

โดยส่วนตัวแล้วผมกับคุณชายดิศนัดดาเป็นเพื่อนรักเกลอเก่าที่คบค้ากันมาเกินกว่า 50 ปี...ผมลองนับ พ.ศ.ดูแล้วน่าจะ 57 ปีเห็นจะได้

ในฐานะข้าราชการ สภาพัฒน์ รุ่นใกล้ๆกัน สมัครสอบเข้าเป็นข้าราชการของสำนักงานที่ว่านี้ช้าเร็วกว่ากันเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น

แม้จะอยู่คนละกองแต่สภาพัฒน์ก็มีกิจกรรมหลายๆอย่างที่ทำให้ข้าราชการรู้จักกัน คบหาสมาคมกันและกลายเป็นเพื่อนกันได้ในที่สุด

สำหรับข้าราชการชายยุคนั้นเรามีทีม “ฟุตบอล” ที่แข็งแกร่ง มีโค้ชและผู้เล่นด้วย ชื่อ “วิชิต แย้มบุญเรือง” นักเตะทีมชาติไทย...ที่ยังเล่นอยู่ในทีมชาติไทยในขณะที่เป็นข้าราชการของสภาพัฒน์ด้วยซํ้า

...

ทีมฟุตบอลของสภาพัฒน์มีคิวที่จะต้องเตะฟุตบอลประเพณีกับ สำนักงบประมาณ ปีละครั้ง คุณชายดิศเล่นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟตัวจริง...ผมเล่นผู้รักษาประตูตัวสำรองในตอนเย็นๆหลังเลิกงานต้องไปซ้อมด้วยกันเสมอๆ

เราอยู่ในทีมเดียวกันเกือบ 3 ปี วันหนึ่งประมาณ พ.ศ.2510 ขณะผมเตรียมตัวจะไปเรียนต่อ ท่านเดินมาหาพร้อมกับเอ่ยว่า ท่านจะต้องลาออกจากสภาพัฒน์แล้ว จึงขอลาออกจากทีมฟุตบอลด้วย

ผมใจหายวาบ...ถามว่าท่านจะออกไปไหน? ท่านตอบว่า ถึงเวลาจะต้องไปสนองพระเดชพระคุณถวายสมเด็จย่าแล้ว...พระองค์ท่านทรงให้มารับราชการที่สภาพัฒน์เพื่อเรียนรู้ระเบียบและระบบราชการชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น...นี่ก็ 3 ปีถือว่าจบหลักสูตรแล้วนะ

อีกไม่นานต่อมาท่านก็ไปรับตำแหน่ง “ราชเลขานุการในพระองค์” ของสมเด็จย่าดังที่ ม.จ.จุลเจิม ยุคล ทรงโพสต์ไว้

จากนั้นเราก็แยกกันไปตามเส้นทาง และความมุ่งมั่นของตนเอง...ผมไปเรียนต่อกลับมาได้ทั้งเขียนหนังสือเป็นงานอดิเรก และยังคงรับราชการต่อไปในหน้าที่ที่จะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดทั่วประเทศ

ก็ทำให้มีโอกาสได้เจอท่าน 2-3 ครั้ง เมื่อเดินทางไปเชียงราย เพราะทราบว่าท่านรับผิดชอบ “โครงการพัฒนาดอยตุง” ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะดึงพี่น้องชาวไทยภูเขา ที่เคยปลูกฝิ่น ปลูกยาเสพติดให้หันมา “สร้างชีวิต” และ “อนาคต” ใหม่ที่ไม่เป็นพิษร้ายต่อเพื่อนมนุษย์ทั่วโลก

คุณชายซึ่งปกติสมัยเตะฟุตบอลด้วยกันก็มีผิวสีค่อนข้างคลํ้าอยู่แล้ว...ปรากฏว่าช่วงที่เจอกันที่เชียงรายนั้น...ผิวสีของท่านแทบจะดำสนิทไปเลยทีเดียว จากการตากแดด ตากลม และบุกป่าฝ่าดง

ท่านเล่าถึงการเจรจากับผู้นำชาวไทยภูเขารวมถึงข้ามไปเจรจากับ “ฝั่งกะโน้น” เสี่ยงต่อการฝ่าดงกระสุน ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง...ถ้าท่านยังอยู่สภาพัฒน์กับผม และได้อยู่ในกองเดิมที่ท่านเคยอยู่ คงไม่ต้องมาลำบากลำบน และเสี่ยงตายที่ชายแดนของประเทศดังที่ท่านบอกเล่า

แต่ท่านก็เลือกที่จะมา เพราะต้องการทำงานถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จย่า ที่มีพระราชดำริอันใหญ่หลวง สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่จะมุ่งมั่นช่วยเหลือพสกนิกรของพระองค์ท่านบนภูเขาให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และไม่เป็นพิษภัยแก่ชาวโลกอีกต่อไป. (อ่านต่อพรุ่งนี้)

“ซูม”