ลุยไม่หยุด ฐาปน สิริวัฒนภักดี กก.ผอ.ใหญ่ ไทยเบฟเวอเรจ แถลงข่าวแผนการดำเนินงานและทิศทางธุรกิจในกลุ่มไทยเบฟ ประจำปี 2564 โดยมี ประภากร ทองเทพไพโรจน์, โฆษิต สุขสิงห์ และ นงนุช บูรณะเศรษฐกุล มาร่วมแถลงด้วย ที่ CW TOWER ถ.รัชดาภิเษก วันก่อน.
ความมุ่งมั่นช่วยให้งานใหญ่สำเร็จได้ไม่ยาก.........หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ยักษ์ใหญ่สารพัดสี จำหน่ายมากที่สุดของประเทศ ฉบับประจำวันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม 2564
...
“ธนูเทพ” ประจำการรับใช้ท่านผู้อ่าน...ท่ามกลางสถานการณ์น้ำท่วมหลายจังหวัดในภาคอีสาน วันก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พร้อม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม และ บุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตรวจสถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกร ตอนล่าง ต.บัลลังก์ อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา และลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัย และตรวจเยี่ยมให้กำลังใจมอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนที่ประสบอุทกภัย จ.ชัยภูมิ โดยมี ส.ส.ในพื้นที่ และจังหวัดใกล้เคียงมาให้การต้อนรับอย่างคับคั่ง...
แถมงานนี้ นายกฯประยุทธ์ ยังถือโอกาสหยอดคำหวานกับประชาชนชาวชัยภูมิ บอกข้าวเหนียว ปลาแดกกินเป็นทั้งนั้น เพราะเป็นลูกอีสาน เกิดโคราช แม่อยู่ชัยภูมิ วันนี้เราดูแลทุกพื้นที่ให้ใกล้เคียงกัน โอกาสหน้าจะมาใหม่ เอาหัวใจ ชาว กทม. และ ทุกจังหวัด มาให้ ชาวชัยภูมิ ปีนี้น้ำท่วม 30 จังหวัด ลดไปแล้ว 17 จังหวัด เหลือ 13 จังหวัด ก็ต้องบริหารจัดการต่อไป โครงสร้างขนาดใหญ่กำลังดำเนินการอยู่ อีกสักพักก็จะเบาลง ธรรมชาติฝืนได้ยาก เพราะฝนตกตามฤดูกาล ต้องอยู่กับน้ำให้ได้...ซื้อใจชาวบ้านได้ไม่แพ้นักการเมืองอาชีพเลยทีเดียว
ที่สำคัญ นายกฯประยุทธ์ ยังได้โพสต์เฟซบุ๊ก ภายหลังลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วมที่ จ.ชัยภูมิ ว่า ลงไปเพื่อให้กำลังใจประชาชนชาวชัยภูมิ แม้จะใช้เวลาไม่นานนัก แต่รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้กลับมาที่ชัยภูมิ บ้านเกิดคุณแม่ ไปด้วยความห่วงใยและได้มาเห็นปัญหาที่ยังมีอีกมากที่ต้องจะต้องเร่งแก้ไขให้สำเร็จ รู้สึกได้จากทุกๆครั้งที่ลงพื้นที่ นั่นคือการได้เห็นพี่น้องคนไทยจำนวนมากที่ประสบภัย แต่สามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้ ทุกคนยังมีรอยยิ้ม ที่เป็นรอยยิ้มของนักสู้ ที่สร้างกำลังใจให้แก่กัน ทั้งๆที่เจตนาแรกเริ่ม คือการเดินทางไปปลอบขวัญผู้ประสบภัยถึงพื้นที่ แต่กลับได้รับกำลังใจกลับคืนมาทุกครั้ง จึงขอส่งต่อกำลังใจและสิ่งดีๆเหล่านั้นไปสู่ เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย และอาสาสมัครทุกคน โดยเฉพาะ บุคลากรทางการแพทย์ ที่ต้องแบกรับภาระเพิ่มเป็นสองเท่า ทั้งโควิด ทั้งน้ำท่วม ใจจริงแล้วอยากจะลงพื้นที่ไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุด เพราะทราบดีว่า ทุกวินาที คือความทุกข์ยากของพี่น้องร่วมชาติ แม้ในบางพื้นที่อาจจะยังไม่ได้ลงไป แต่ก็มีความห่วงใยอยู่เสมอ และได้ติดตามวิกฤติน้ำท่วมอย่างใกล้ชิด โดยได้มอบนโยบายให้ทางจังหวัดเร่งรัดแก้ไขสถาน การณ์อย่างเต็มที่ ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมทั้งหมดเวลานี้ได้สั่งการให้รายงานโดยตรงที่นายกรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องเพื่อจะได้สั่งการผ่านกลไกในระดับรัฐบาลลงไปยังระดับท้องถิ่น สนับสนุนการแก้ปัญหาของแต่ละพื้นที่ ให้ดูแลพี่น้องผู้ประสบภัยอย่างทั่วถึง จนกว่าน้ำจะลด แล้วเข้าสู่การเยียวยา และฟื้นฟูต่อไป
เหนืออื่นใด นายกฯประยุทธ์ ยังยืนยันด้วยว่าจากการที่ได้ลงไปติดตามสถานการณ์ในหลายๆพื้นที่ โดยภาพรวมแล้วยังอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถรับมือได้ ปัจจัยหนึ่งเป็นเพราะแต่ละจังหวัดได้ดำเนินการ ตามแผนรับมืออุทกภัยระดับประเทศ ที่ คณะรัฐมนตรี ได้กำหนดไว้เมื่อเดือน มิ.ย. สำหรับหน้าฝนปีนี้ โดยมี 10 มาตรการ ขอให้ทุกพื้นที่ดำเนินการตาม 10 มาตรการดังกล่าวให้ได้มากที่สุด เพื่อเตรียมการและลดความเสี่ยงจากอุทกภัย ทั้งในปีนี้และปีต่อๆไปด้วย และจากการประเมินสถานการณ์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากไม่มีพายุเข้ามาอีก น้ำท่วมขังจะค่อยๆลดลงจนหมดภายใน 10–15 วัน โดยได้สั่งการย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดที่ประสบเหตุอุทกภัยเร่งระบายน้ำอย่างเต็มที่ เข้าไปดูแลประชาชนที่ประสบภัยให้ได้มากที่สุด รวมถึงประเมินความเสี่ยง เพื่อวางแผนรับมือสำหรับจังหวัดในเขตพื้นที่ตอนล่าง กทม. และ ปริมณฑล ไว้ด้วย จากแผนเผชิญเหตุและการเตรียมพร้อมล่วงหน้าในปีนี้จึงเชื่อว่าสถานการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้จะไม่เหมือนกับวิกฤติในอดีตที่ผ่านมา...ปลุกขวัญกำลังใจไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนกเกินเหตุ
...
...
สอดคล้องกับการที่ ณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ อธิบดีกรมอุตุนิยม วิทยา ออกมาระบุถึงสถานการณ์อุทกภัยในขณะนี้ ที่ทำให้ประชาชนกังวลว่าจะเกิดน้ำท่วมหนักเหมือนปี 2554 นั้น ทาง กรมอุตุนิยมวิทยา ขอยืนยันว่าสถานการณ์ในปีนี้แตกต่างจากปี 2554 อาทิ ภาพรวม ปริมาณน้ำฝนทั้งประเทศ ปี 2554 มากกว่า ปี 2564 ถึง 20% โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน มีฝนตกต่อเนื่อง มีปริมาณน้ำสะสมเป็นจำนวนมากในลุ่มน้ำสายหลัก รวมทั้ง เขื่อนและอ่างเก็บน้ำ ทำให้ปริมาณน้ำในเขื่อนเต็มความจุตั้งแต่ต้นปี แต่สำหรับปี 2564 ฝนตกกระจาย ปริมาณน้ำฝนน้อยลง โดยเฉพาะ ปลายเดือน พ.ค. ถึง เดือน มิ.ย. มีปริมาณน้ำฝนน้อย บางพื้นที่ฝนทิ้งช่วงหลายสัปดาห์ ขณะที่ปี 2554 มี พายุดีเปรสชันหลายลูก พัดผ่านเข้าประเทศไทย แต่ปีนี้ปลายฤดูฝน เดือน ก.ย. มีพายุเข้าสู่ประเทศไทยเพียงลูกเดียว คือ พายุดีเปรสชัน “เตี้ยนหมู่” จึงมีโอกาสน้อยมากที่ กรุงเทพฯและปริมณฑล จะเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่เหมือนปี 2554 โดยทั้งหมดขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ด้วย จึงขอให้พี่น้องประชาชนอย่าตื่น ตระหนก...ฟังหน่วยงานที่เชี่ยวชาญ ชี้แจงแล้ว ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำก็คงสบายใจขึ้นเปลาะหนึ่ง ตื่นตัวระวังป้องกันน้ำหลากล้นตลิ่ง เพื่อความปลอดภัย แต่ไม่ต้องถึงขั้นตื่นตูมนะจ๊ะ
เฮ้อ...ปัญหาเรื่องความแตกแยกแบ่งก๊กแบ่งกลุ่มใน พรรคพลังประชารัฐ ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นั่งกุมบังเหียนเป็นหัวหน้าพรรค และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นเลขาธิการพรรค เริ่มชัดขึ้นมาอีก เมื่อ พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล อดีตประธานยุทธศาสตร์ภาคใต้ พรรคพลังประชารัฐ เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารรุ่น 12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ ออกมาระบุว่า ส.ส.ในกลุ่มภาคใต้บางส่วนจะไปร่วมงานกับพรรคใหม่ ที่ ฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ดำเนินการประสานจัดตั้งขึ้น หากขั้นตอนต่างๆแล้วเสร็จก็จะพูดคุยเพื่อเข้าไปร่วมงานด้วย โดยได้คุยกับนายกฯประยุทธ์ แล้ว เมื่อตอนต้นปีที่ผ่านมา โดยบอกว่าจะไม่ขออยู่กับ พรรคพลังประชารัฐ แล้ว และได้รับคำตอบกลับมาว่า ถ้าไม่อยู่ก็หาพรรคใหม่สังกัด แต่ไม่ได้คุยกับ พล.อ.ประวิตร เพราะไม่ได้คุยกันมานานแล้ว...สรุปมีแววพรรคแตก ถ้าพี่น้อง 3 ป.ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง จบข่าว
...
ผ่างๆ...ท่ามกลางกระแสการเมืองร้อนๆ มีการประเมินกันว่า นายกฯประยุทธ์ อาจ ยุบสภา หรือ ลาออก เพราะปัญหาความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐ... วันก่อน เทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ออกมาวิเคราะห์โดยชี้ว่า การลาออก จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ แม้จะมีแรงกดดันและเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆเรียกร้องให้ลาออก แต่ก็ไม่สามารถกดดัน พล.อ.ประยุทธ์ ได้ ยังมุ่งมั่นที่จะอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป ประเด็นนี้จึงเป็นไปไม่ได้เลย การยุบสภา ถ้าดูสถานการณ์การเมืองในสภาผู้แทนราษฎร ยังเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีแต้มต่อ มากกว่าการเมืองกลุ่มใดๆ ใน พรรคพลังประชารัฐ และ พรรคร่วมรัฐบาลนอกจากนี้ยังมี ส.ว. 250 คนหนุนหลัง การยุบสภาจึงเป็นเรื่องยากมาก และ ส.ส. ก็ยังไม่อยากให้ยุบสภา กลุ่มกบฏ ใน พรรคพลังประชารัฐ ก็ไม่พร้อมจะแตกหัก ก็คงมีการ ประนอมอำนาจกันต่อไป เพื่ออยู่ในอำนาจให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ส่วน การรัฐประหาร ในยุคนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ นายทหารหรือ ผู้นำเหล่าทัพ จะตัดสินใจก่อการยึดอำนาจได้เหมือนที่ผ่านมา เพราะมีปัจจัยพิเศษ ถ้าไม่ได้รับสัญญาณไฟเขียวก็ยากที่จะก่อการ ฉะนั้นทั้ง 3 เงื่อนไข คือ ลาออก ยุบสภา รัฐประหาร ที่มีการพูดถึงนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ทั้งสิ้น การเมืองภายใต้ ระบบประยุทธ์ ก็ยังคงเดินต่อไป...ถือว่าอ่านเกมขาดทะลุปรุโปร่งเลย
“ธนูเทพ”