ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ-เอกชน เตรียมนำเข้ายา "โมโนโคลนอล แอนติบอดี" ลดความรุนแรงของโควิด-19

วันที่ 21 กันยายน 2564 มีรายงานว่า ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ร่วมกับ สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย และศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จัดงานแถลงข่าวในหัวข้อ "การรับมือต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในปัจจุบันและอนาคต"

ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กล่าวว่า ในฐานะที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เป็นหนึ่งในห้าหน่วยงานที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าวัคซีนโควิด-19 ตามประกาศศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ให้สามารถนำเข้าและกระจายเวชภัณฑ์เพื่อใช้ในภาวะฉุกเฉินได้ จึงเล็งเห็นว่ายา "โมโนโคลนอล แอนติบอดี" ซึ่งเป็นยาในกลุ่มภูมิคุ้มกันลบล้างฤทธิ์ มีผลการวิจัยทางคลินิกระยะที่ 3 และข้อมูลการใช้จริงในประเทศสหรัฐอเมริกา บ่งชี้ว่าช่วยลดโอกาสที่โรคจะลุกลามไปสู่ระดับรุนแรง ลดแนวโน้มการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และมีส่วนช่วยลดอัตราการเสียชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยโควิด-19 ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น สูงอายุ มีภาวะอ้วน และเป็นโรคเรื้อรัง

...

ดังนั้น ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการนำเข้า จัดสรร และกระจายยาดังกล่าว ให้ถึงมือผู้ป่วยกลุ่มเปราะบางให้ได้มากที่สุดอย่างทันท่วงที รวมถึงกําหนดราคาให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในทุกสถานพยาบาล

เนื่องจากในปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากภาวะเตียงเต็ม อันเป็นผลจากการที่ผู้ป่วยโควิด-19 อาการลุกลามจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล โดย รศ.นพ.นิธิพัฒน์ และนายกสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์รับมือกับเคสผู้ป่วยอาการรุนแรง กล่าวถึงผลกระทบและความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น หากอาการของโรคดำเนินไปสู่ระดับรุนแรงว่า “ผู้ป่วยที่ถูกส่งตัวมายังห้องไอซียู มักมาด้วยภาวะปอดบวม และภาวะล้มเหลวในอวัยวะต่างๆ อันเป็นผลจากการติดเชื้อ SARs-COV-2 นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายมีการติดเชื้อแทรกซ้อนอีก ทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตถึง 50%

นอกจากนี้ ผศ.นพ.กำธร มาลาธรรม นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ยังกล่าวเสริมถึงแนวทางการรับมือในสถานการณ์เช่นนี้ว่า “บุคลากรทางการแพทย์ต่างก็ทำงานอย่างหนักเพื่อช่วยกันลดแนวโน้มที่ผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวและสีเหลือง (หรือผู้ป่วยที่มีอาการน้อยและปานกลาง) ไม่ให้อาการของโรคดำเนินไปสู่ระดับสีแดง (หรืออาการรุนแรง) ดังนั้น หากมีตัวเลือกการรักษาที่มีส่วนช่วยดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ได้เหมือนการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ก็จะช่วยยกระดับการบริหารจัดการทรัพยากรทางการแพทย์ให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วย เพราะผู้ป่วยทุกรายอาจไม่จำเป็นต้องถูกส่งตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาล แต่อาศัยวิธีการแยกตนเองหลังได้สัมผัสกับเชื้อ (Self-Isolation) อย่างเคร่งครัดแทนได้

แต่ทว่า ที่ผ่านมายังไม่มีผลิตภัณฑ์ยาชนิดใดเลย นอกเหนือจากยา "โมโนโคลนอล แอนติบอดี" ซึ่งเป็นยาในกลุ่มภูมิคุ้มกันลบล้างฤทธิ์ เช่น ยาแอนติบอดี ค็อกเทล ที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 โดยตรง และยังปรากฏในรายการของสมาคมโรคติดเชื้อแห่งอเมริกา (Infectious Diseases Society of America - IDSA) และสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (National Institutes of Health - NIH)

ทุกวันนี้แม้จะมีความพยายามกระจายวัคซีนอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม แต่จำนวนผู้ได้รับวัคซีนครบโดสยังมีเพียง 14.3 ล้านคน หรือคิดเป็น 20.5% ของประชากรทั้งประเทศเท่านั้น โดยกลุ่มผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเลย เนื่องจากมีโรคประจำตัวบางชนิดหรือมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง “ยาดังกล่าวก็นับได้ว่าเป็นตัวเลือกการรักษาที่ดี หากผู้ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนบังเอิญไปสัมผัสกับเชื้อ ทั้งนี้ การได้รับวัคซีนก็ยังคงแนวทางป้องกันหลักและควรเป็นทางเลือกแรกของประชาชนที่ไม่มีข้อจำกัด เช่น โรคประจำตัว หรือมีปฏิกิริยาแพ้

ด้านความก้าวหน้าในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในต่างประเทศ ผศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ชี้แจงว่า “ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ องค์การอาหารและยาของประเทศเหล่านั้นอนุมัติให้ใช้ยาแอนติบอดี ค็อกเทล ในผู้ที่มีประวัติสัมผัสเชื้อแต่ยังไม่ติด และในผู้ที่ยืนยันการติดเชื้อแล้วแต่ไม่แสดงอาการ

...

หากประเทศไทยนำแนวทางดังกล่าวมาประยุกต์ใช้อาจช่วยเพิ่มตัวเลือกการรักษาให้แก่ผู้ป่วยและยับยั้งการแพร่เชื้อลงได้อย่างรวดเร็วในเวลาเดียวกัน โดยกลยุทธ์เชิงป้องกัน (Post-Exposure Prophylaxis) ไม่ได้จำกัดอยู่แต่มีเพียงยาแอนติบอดีเท่านั้น แต่ปัจจุบันยังยังมีการศึกษากลุ่มยาต้านไวรัส (Antiviral) ด้วย หากมีการนำแนวทางนี้มาใช้ควบคู่ไปกับการกระจายวัคซีน ที่ช่วยลดความรุนแรงของโรคและป้องกันการเสียชีวิต การเข้าถึงของประชาชนก็จะสะดวกและกว้างขวางยิ่งขึ้น ซึ่งมีส่วนให้ประเทศไทยลดการแพร่กระจายของเชื้อลงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

สุดท้ายนี้ การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเลือกการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละกลุ่มจึงเป็นกลไกสำคัญที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ สมาคมวิชาชีพ และสถาบันทางการแพทย์ต่างๆ เล็งเห็นแล้วว่าเป็นแนวทางการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบันและอนาคตได้ โดยราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ยังมีโครงการศึกษาวิจัยผลิตภัณฑ์ยารักษาโควิด-19 ในกลุ่มภูมิคุ้มกันลบล้างฤทธิ์ หรือ ยาโมโนโคลนอล แอนติบอดี ในผู้ป่วยที่มีอาการและปัจจัยเสี่ยงสอดคล้องกับคำแนะนำการใช้ยา เพื่อติดตามผลลัพธ์การรักษาอย่างใกล้ชิดเและประเมินความเหมาะสมต่อไป.