"หมอมานพ" คาดภายในเดือน ก.ค.นี้ โควิดสายพันธุ์เดลตา จะมาแทนที่อัลฟา พร้อมเผย "ล็อกดาวน์" คือทางสุดท้ายในการตัดตอนการระบาด

วันที่ 8 ก.ค. 2564 ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ ศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล โพสต์ข้อความโดยระบุว่า ผ่านมา 10 วันของมาตรการสกัดการระบาด เชื่อว่าทุกคนคงบอกได้ว่าประสบผลสำเร็จหรือไม่ จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ยังสูงขึ้นเรื่อยๆ สอดคล้องกับการระบาดของเดลตาที่เดินตามหลายประเทศก่อนหน้านี้ คาดว่าภายในเดือนนี้สายพันธุ์นี้น่าจะแทนที่อัลฟา กลายเป็นสายพันธุ์หลักของประเทศ หลังจากยึดครองกรุงเทพได้แล้วภายในครึ่งเดือนแรก

บทเรียนจากประเทศอังกฤษในช่วงการกินส่วนแบ่งตลาดของเดลตาในระยะแรก จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นราว 3 เท่าจากฐานเดิม บ้านเราก็เดินมาถึงจุดนี้เหมือนกันคือจาก 2-3 พันคน มาเป็น 6,500 คนเมื่อวานนี้ (แม้ว่าจะต่ำกว่าความเป็นจริงไม่น้อย จากข้อมูลที่ชี้ว่าเราตรวจน้อยเกินไป) ถ้าดูแบบแผนการระบาดของอังกฤษจะเห็นว่าหลังจากเดลตายึดครองพื้นที่ได้หมด จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังพุ่งสูงขึ้นอีก 3-4 เท่าถ้าไม่มีมาตรการอะไรเพิ่มเติม

ข้อมูลผู้ป่วยหนัก ผู้ป่วยใน ICU เพิ่มมากแค่ไหน ตัวเลขที่สื่อนำเสนอคงเห็นกันอยู่ เมื่อวานมีผู้ป่วยหนักสูงเป็นอันดับ 12 ของโลก แม้จะระดมสร้าง รพ.จริง, จัดหาเตียง, เนรมิตเครื่องช่วยหายใจ, ออกซิเจน, อุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ ได้ชั่วข้ามคืน เราก็ไม่สามารถเพิ่มจำนวนบุคลากรได้มากกว่านี้อีก

ส่วนทางเลือกอื่นในการสกัดการระบาด ไม่ว่าจะเป็นการระดมสร้างภูมิคุ้มกันผ่านวัคซีน กทม. และอีกหลายจังหวัดเสี่ยงมีการฉีดวัคซีนไปพอสมควร แต่ด้วยประสิทธิภาพของวัคซีน ระยะเวลาในการกระตุ้นภูมิ รวมถึงจำนวนผู้ได้รับวัคซีนที่ยังไม่มากพอ เราหวังผลจากมันไม่ได้

...

การตรวจก็มีข้อจำกัด ตัวเลขการตรวจรวมรายสัปดาห์ ฉบับล่าสุดของกรมวิทย์ยังไม่เผยแพร่ออกมา แต่ถ้าดูข้อมูล ศบค. ในตาราง เราตรวจหาผู้ติดเชื้อได้ต่ำมาก กทม. และปริมณฑล ตรวจได้เพียงวันละ 3 พันคน และมีอัตราบวกที่สูงมากๆ จนน่าตกใจ การค้นหาผู้ป่วยและแยกโรคแทบเป็นไปไม่ได้

เมื่อสองทางเลือกข้างต้นทำไม่ได้ คงเหลือทางสุดท้ายในการตัดตอนการระบาด คือ full lockdown ท่านผู้บริหาร ศบค. กล่าวไว้ว่า การทำ full lockdown แบบช่วงเมษายนปีที่ผ่านมา รัฐหมดค่าใช้จ่ายถึงเดือนละ 3 แสนล้านบาท เงินจำนวนนี้สามารถเพิ่มความจุในการตรวจเชื้อ, ปรับปรุงระบบการเฝ้าระวังการระบาด, เพิ่มศักยภาพของระบบโรงพยาบาล, ซื้อวัคซีนประสิทธิภาพสูง วางแผนการจัดหาและกระจายรวดเร็ว และมีปริมาณเกินพอสำหรับคนทั้งประเทศได้ บางทีพวกเราในฐานะประชาชน ควรใช้เหตุการณ์ทั้งหมดเป็นบทเรียนว่า เราปล่อยให้สถานการณ์เดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร.

ขอบคุณเฟซบุ๊ก มานพ พิทักษ์ภากร