อากาศร้อน มีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน มีพายุฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรง ต้นมะม่วงเริ่มเข้าสู่ช่วงแทงช่อดอกและกำลังเป็นผลอ่อน กรมวิชาการเกษตร เตือนชาวสวนมะม่วงเฝ้าระวังการเข้าทำลายของเพลี้ยไฟพริก
มักจะพบตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากเซลล์พืชบริเวณใบอ่อน ยอดอ่อน ตุ่มตาใบ ตุ่มตาดอก และช่อดอกมะม่วง โดยเฉพาะฐานรองดอกและขั้วผลอ่อน ทำให้เซลล์บริเวณนั้นถูกทำลาย กรณีที่ระบาดไม่รุนแรง จะปรากฏแผลชัดเจนเป็นวงใกล้ขั้วผลมีสีเทาเงินเกือบดำหรือผลบิดเบี้ยว ถ้าทำลายรุนแรง ผิวของผลมะม่วงจะเป็นสีดำเกือบทั้งหมด ทำให้ผลผลิตมีราคาต่ำลง
การเข้าทำลายบนยอดอ่อน จะทำให้ใบที่แตกใหม่แคระแกร็น ขอบใบและปลายใบไหม้ ใบอาจร่วงตั้งแต่ยังเล็ก...เข้าทำลายใบที่มีขนาดโตจะเกิดตามขอบใบ ทำให้ใบม้วนงอและปลายใบไหม้...เข้าทำลายที่ยอด จะมีความรุนแรงจนทำให้ยอดแห้ง ไม่แทงช่อใบหรือช่อดอก
ถ้าเข้าทำลายในระยะติดดอก จะทำให้ช่อดอกหงิกงอ ดอกร่วงไม่ติดผล หรือทำให้ติดผลน้อย...เข้าทำลายที่ตุ่มตาดอก จะทำให้ช่อดอกจะบิดเบี้ยว หงิกงอ ติดผลน้อย และผลที่ถูกเพลี้ยไฟทำลายอาจหลุดร่วงได้
หากพบการระบาดไม่มาก ให้เกษตรกรตัดส่วนที่เพลี้ยไฟพริกระบาดนำไปเผาทำลายทิ้งนอกแปลงปลูก เพราะเพลี้ยไฟพริกจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มบริเวณส่วนยอดอ่อนของพืช
กรณีระบาดรุนแรง ให้พ่นด้วยสารฆ่าแมลง สไปนีโทแรม 12% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อะบาเมกติน 1.8% อีซี อัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คลอร์ฟีนาเพอร์ 10% เอสซี อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
เพื่อให้การฉีดพ่นมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ควรพ่นในระยะที่ต้นมะม่วงติดดอกอย่างน้อย 2 ครั้ง ในระยะเริ่มแทงช่อดอก และระยะเริ่มติดผลขนาดมะเขือพวง (ประมาณ 0.5–1.0 ซม.)
...
หากพบระบาดรุนแรง ให้พ่นซ้ำก่อนระยะดอกบาน...ไม่ควรฉีดพ่นสารฆ่าแมลงในระยะดอกบาน เพราะจะมีผลต่อแมลงผสมเกสร.
สะ-เล-เต