สะตอสามารถนำไปปรุงอาหารได้หลายชนิด มีคุณค่าทางโภชนาการและสมุนไพร ความต้องการบริโภคสะตอมีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ปัจจุบันเรามักเห็นสะตอปลูกกันทุกภาคทั่วประเทศ แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ
เพราะสะตอให้ผลผลิตเป็นฤดูกาล จะออกมากช่วงมิถุนายน-กรกฎาคมของทุกปี ราคาเลยตก รวมทั้งสะตอพันธุ์ที่เกษตรกรเพาะปลูกส่วนใหญ่ขยายพันธุ์โดยเพาะเมล็ด กว่าจะได้ผลผลิตต้องใช้เวลานาน 6-7 ปี
“เราต้องการพัฒนาสายพันธุ์สะตอที่ให้ผลผลิตนอกฤดูได้ เพื่อให้ได้ราคาดี หลีกเลี่ยงราคาไม่ดีในช่วงผลผลิตมาก ขณะเดียวกันก็ให้ผลผลิตเร็วกว่าสะตอแบบเพาะเมล็ด แล้วนำมาปลูกในแปลงทดลอง กระทั่งได้สายพันธุ์ที่ตอบโจทย์ทุกอย่าง จนปี 2560 จึงไปขึ้นทะเบียนเป็นพันธุ์แนะนำ”
ปี 2540-2543 จึงคัดเลือกสะตอต้นเด่นๆทั่วภาคใต้ รวม 118 สายต้น แล้วบันทึกประวัติพันธุ์ พร้อมกับติดตามผลการให้ผลผลิตนอกฤดู ในระยะเวลารวมทั้งสิ้น 3 ปี มีต้นที่ผ่านเกณฑ์ทั้งสิ้น 12 ต้น
ชญานุช ตรีพันธ์ นักวิชาการเกษตรชำนาญการ ศูนย์วิจัยพืชสวนตรัง บอกถึงที่มาของสะตอพันธุ์ใหม่ “พันธุ์ตรัง 1” ที่เริ่มจากกรมวิชาการเกษตร ได้มอบหมายให้ ดร.บุญชนะ วงศ์ชนะ อดีตนักวิชาการศูนย์วิจัยพืชสวนตรัง (ปัจจุบันผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย) เป็นหัวหน้าชุดงานวิจัยสะตอพันธุ์พื้นเมืองที่ให้ผลผลิตนอกฤดู ด้วยการเก็บต้นพันธุ์จากแหล่งปลูกในภาคใต้ มาตั้งแต่ปี 2540-2543 จากนั้นจึงทำการบันทึกประวัติพันธุ์ ด้านการให้ผลผลิตนอกฤดู จำนวน 118 สายต้น
...
พบว่า มีสะตอข้าวที่ผ่านการคัดเลือกให้ผลผลิตนอกฤดู จำนวน 12 สายต้น จึงนำพันธุ์เหล่านี้มาขยายพันธุ์ โดยการติดตา ปลูกทดสอบเพื่อศึกษา การเจริญเติบโต การให้ผลผลิตนอกฤดู และคุณภาพของผลผลิตในศูนย์วิจัยพืชสวนตรัง
ปรากฏว่าสะตอสายต้น ตง. 4 เป็นสายต้นที่ดีที่สุด ตอบโจทย์ในทุกเรื่อง คณะนักวิจัยจึงเสนอพิจารณาเป็นพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตร โดยใช้ชื่อ...สะตอพันธุ์ตรัง 1
ตอบโจทย์ทั้งเรื่องของการออกนอกฤดู...ปกติสะตอทั่วไปจะให้ผลผลิตออกมามากในช่วง มิ.ย.-ก.ค. แต่พันธุ์ตรัง 1 จะให้ผลผลิตช่วง พ.ย.-เม.ย. ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างเทศกาลหลายเทศกาล ทำให้เมื่อเกษตรกรได้รับคำแนะนำให้ปลูก น่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น
ที่สำคัญตอบโจทย์ใช้เวลาเพาะปลูกสั้นลง ...แค่เพียง 3 ปีสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว เพราะใช้การติดตาแทนการเพาะเมล็ดแบบเดิม และให้ผลผลิตมากกว่าปีละครั้ง โดยเฉพาะนอกฤดู
ลักษณะเด่น...เป็นสะตอพันธุ์ข้าว คือ ฝักจะบิดเล็กน้อย เมล็ดเล็ก เนื้อนิ่ม รสค่อนข้างหวานมัน กลิ่นฉุนน้อย ทำให้เป็นที่นิยมของคนทั่วไป (ยกเว้นภาคใต้ที่ค่อนข้างชอบสะตอกลิ่นฉุน) ทรงพุ่มเตี้ย สะดวกต่อการดูแลรักษา เก็บเกี่ยว เมล็ดสม่ำเสมอ เฉลี่ยฝักละ 15 เมล็ด เรียงชิดติดกัน ทำให้ง่ายต่อการบรรจุ
ถือเป็นสะตอพันธุ์แรกที่ผ่านการพิจารณาเป็นพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตรทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 3-4 เท่า เพราะราคาผลผลิตสะตอนอกฤดูสูงถึงฝักละ 15 บาท ขณะที่ผลผลิต
ในฤดูราคาเต็มที่แค่ฝักละ 5 บาท
การปลูกและดูแลรักษา...เหมาะกับระยะระหว่างต้น 8×8 หรือ 9×9 เมตร เนื่องจากเป็นกิ่งที่มาจากการขยายพันธุ์โดยการติดตา ทำให้การเจริญเติบโตระยะแรกกิ่งมักเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ดังนั้นต้องใช้หลักค้ำกิ่งช่วยให้กิ่งตรง เพื่อให้ต้นที่เจริญเติบโตแล้วตรง ไม่เอียงให้เสียพื้นที่ และเก็บเกี่ยวได้สะดวกขึ้น
นอกจากนั้น จำเป็นต้องตัดยอดและทรงพุ่ม เมื่อปลูกได้ 5-6 เดือน ต้นสะตอจะสูง 1.3-1.5 เมตร ให้ตัดยอดที่ความสูง 80 ซม.-1 เมตร เพื่อให้แตกกิ่งแขนง แล้วเลือกไม้กิ่งแขนงทุกทิศทางให้สมดุลกัน 4-5 กิ่ง เพื่อให้เจริญเติบโตเป็นกิ่งหลัก และให้เป็นทรงพุ่มสมดุลกันทุกทิศทาง
การให้น้ำ ปุ๋ย ยา...ระยะเริ่มปลูก 1-3 ปี ให้น้ำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ส่วนการให้ปุ๋ย ตั้งแต่ลงปลูกไปจนถึง 3 ปี ให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 100-200 กรัมต่อต้น ปีละ 2 ครั้ง และช่วงเดียวกันนี้ให้หมั่นดายหญ้า หรือกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ เมื่อต้นโตพ้นระยะวัชพืชจะน้อยลงไปเอง...สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ 08-9870-4995.
...
กรวัฒน์ วีนิล