เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมเขียนถึงการกลับมาของ “ฝุ่นพิษ” หรือ “ฝุ่นจิ๋ว PM 2.5” หลังปลายฝนต้นหนาว...ในหลายๆพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเหนือและกรุงเทพมหานคร ซึ่งรุนแรงมากในช่วงหลายๆปีมานี้ ภาคเหนือรุนแรงที่สุดและน่าห่วงที่สุด โดยเฉพาะช่วงหลังปีใหม่ ซึ่งจะมีการเผาป่า เผาไร่ และท้องนากันมาก ทำให้เกือบทุกจังหวัดของภาคเหนือ มูลค่าฝุ่นพิษ PM 2.5 กระฉูดขึ้นไปถึงขั้น “สีแดง” ซึ่งเป็นขั้นอันตรายต่อสุขภาพ ติดต่อกันเป็นแรมเดือน

สำหรับ กทม. ก็ไม่เบา ข้อมูลย้อนหลังบ่งบอกเอาไว้ชัดเจนว่า เราวนเวียนอยู่ในท็อป 5 ของโลก บ่อยมากในช่วงหลังปีใหม่ไปแล้ว

ผมก็เลยเขียนดักคอล่วงหน้าว่า ยังไงๆปีนี้เราต้องเจออีกแน่ๆ เพราะดูเหมือนว่าการเผาป่าเผาไร่จะกลายเป็นประเพณีใหม่ของคนไทย เราในต่างจังหวัดเสียแล้ว...ห้ามเท่าไรก็ไม่ฟัง

ที่สำคัญก็คือ ในการ “ปลูกอ้อย” ซึ่งมีมากในหลายๆพื้นที่ของประเทศไทย ในช่วงหลังๆขาดแคลนแรงงานอย่างมาก

ทำให้คนงานตัดอ้อยไม่ยอมตัด “อ้อยสด” เพราะตัดยากกว่าและงานหนักกว่าเรียกร้องให้เผาอ้อยเสียก่อนเพื่อจะตัดได้ง่ายเข้า

เจ้าของไร่ไม่มีทางเลือกก็ต้องโอนอ่อนผ่อนตาม ทำให้มีการเผาไร่อ้อยอย่างกว้างขวางในฤดู “ตัดอ้อย” ซึ่งก็จะเริ่มตั้งแต่หน้าหนาวยาวข้ามปีไปจนถึงตรุษจีน

นี่คือปัญหาหลักของการเกิดฝุ่นพิษ PM 2.5 ในต่างจังหวัดที่แม้จะมีความพยายามแก้ไขกันมานานหลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เบาบางลง

ส่วนใน กทม.และปริมณฑล นั้น สาเหตุหลักของ PM 2.5 มาจากควันรถยนต์เป็นส่วนใหญ่ เพราะมีปริมาณรถสัญจรไปมาค่อนข้างมากในแต่ละวัน และก็อย่างที่ทราบรถเก่าหรือรถมือสองที่เครื่องเคราหละหลวมก็มีอยู่ไม่น้อย มีโอกาสพ่นควันพิษออกมามากกว่ารถใหม่ๆ

...

นอกจากนั้น ยังมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าแทบจะทั่ว กทม. รวมไปถึงการขุดการซ่อมถนนในหลายๆจุดที่มักจะเร่งทำกันในฤดูแล้งก็เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ PM 2.5 ใน กทม. กระฉูดขึ้น

ที่สำคัญช่วงมกราคม กุมภาพันธ์ จะเกิดสภาพอากาศปิดลมสงบ และชั้นบรรยากาศผกผัน ส่งผลให้ PM 2.5 ไม่กระจายตัว

อย่างไรก็ตาม จากความตื่นตัว และจากความคุ้นเคยที่เราทราบแล้วว่า พอปลายฝนต้นหนาว เจ้า PM 2.5 จะมาเยือน ทำให้ทุกๆฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างเตรียมตัวเตรียมการอย่างแข็งขัน

ทั้ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมควบคุมมลพิษ และ กทม. รวมทั้งท่าน ผู้ว่าราชการจังหวัด หลายๆ จังหวัดของภาคเหนือต่างก็ออกข่าวแจ้งเตือนประชาชนและเตรียมมาตรการต่างๆไว้อย่างพร้อมเพรียง

ต้องขอขอบคุณในความกระตือรือร้นเอาจริงเอาจัง แต่ยังไงๆ ก็คงหนีไม่พ้น อย่างเก่งก็แค่หนักเป็นเบาเท่านั้น

พวกเราชาวประชาทั้งหลายคงต้องช่วยตัวเอง คือต้องระมัดระวังและป้องกันด้วยการสวมหน้ากากอนามัยก่อนออกจากบ้านสู่ที่โล่งๆ หรือเดินทางไปตามเขตเสี่ยงต่างๆ

ที่พึ่งที่ดีที่สุดก็คือ แอปพลิเคชัน AIR4THAI ของกรมควบคุมมลพิษครับ เพราะจะคอยแจ้งเตือนจากสถานีวัดต่างๆ ทั้ง กทม. และทั่วประเทศให้เราทราบอยู่เสมอว่า ณ เวลาที่เราออกจากบ้านนั้นค่า PM 2.5 อยู่ในขั้นไหน? สีฟ้า (ดีมาก) สีเขียว (ดีธรรมดา) สีเหลือง (ปานกลาง) สีส้ม (เริ่มมีผลกระทบ) และสีแดง (มีผลกระทบแล้วจ้า)

ต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้สำหรับแอปนี้ที่มีประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับพี่น้องชาว กทม. ที่เปรียบเสมือนคู่มือเดินทางออกจากบ้านในแต่ละวัน

แต่เมื่อขอบคุณแล้วก็ขอ “เสนอแนะ” รวมทั้ง “ติติง” เอาไว้หน่อยครับ เพราะเขาเพิ่งจะเปลี่ยนหน้าตา เปลี่ยนวิธีใช้ เปลี่ยนฟอนต์ตัวหนังสือ รวมถึงการนำเสนอใหม่ เมื่อ 2-3 วันนี้เอง

เปลี่ยนแล้วแทนที่จะดีขึ้นกลับยุ่งยากกว่าเก่า ใช้ตัวอักษรโตเกินเหตุ เปิดปุ๊บไม่รู้ทันทีว่าเขตไหน ย่านไหน สถานการณ์เป็นอย่างไร

ขึ้นมาเราเห็น “สีส้ม” อยากรู้ว่าที่ไหนก็ไม่รู้ เพราะมีแต่คำว่า “ริมถนน” เท่านั้น แล้วก็จุดจุดเอาไว้ ทำให้เสียเวลาต้องคลิกเข้าไปอีกทีถึงจะรู้ว่าริมถนนอะไร

เรียกว่าทั้งหน้าเลย ไถจนเมื่อยนิ้วมีแต่คำว่า ริมถนน, ริมถนน เฮ้อ!

สู้ของเก่าไม่ได้ครับ มองแป๊บเดียวรู้ชื่อเขต ชื่อแขวง ชื่อถนน โดยไม่ต้องคลิกเพิ่ม...ฉะนั้น ข้อเสนอแนะของผมวันนี้ก็คือ กลับไปใช้ ของเก่าเถอะครับ อ่านง่าย เข้าใจง่ายดีอยู่แล้ว เปลี่ยนทำไมก็ไม่รู้ซี.

“ซูม”