ชีวิตสุดเวทนา “ครอบครัว” ตกงานจากผลกระทบ “พิษโควิด-19” ต้องพาลูกชายวัย 5 ขวบ ที่ต้องหยุดโรงเรียนถาวร ออกตระเวนยามค่ำคืนหาเก็บของเก่า เพื่อนำมาคัดแยกขายหาเงินมาประทังชีวิต เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกลางดึกปลายเดือน ก.ย.2563 “พ่อแม่และลูกน้อย” กำลังคุ้ยเขี่ยหาสิ่งของในถังขยะ ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก ในซอยพัฒนาการ 30 เขตสวนหลวง กทม. แต่ยังไม่ทันเข้าทักสอบถามได้ความก็ขับรถออกไปก่อน และต่อมาปลายเดือน ต.ค.ก็เจอครอบครัวนี้อีกครั้งที่กำลังหาของเก่าในถังขยะอยู่เช่นเดิม

กระทั่งทีมข่าว “สกู๊ปหน้า 1” มีโอกาสได้พูดคุยซักถามความเป็นอยู่และเรื่องราวชีวิตอันแสนลำบากทราบชื่อว่า ทั้ง 3 คน คือ “น้องโนเนม” อายุ 5 ขวบ “กาญจนา จุนณะพันธ์” อายุ 28 ปี ผู้เป็นแม่ และ “ธานินทร์ สายทอง” อายุ 26 ปี พ่อเลี้ยงที่อาศัยอยู่กับ “พ่อแม่สามี” ในห้องเช่าเล็กๆ รวมกัน 5 ชีวิตในซอยพัฒนาการแห่งนี้

“วันนี้...โชคดีนะเก็บของเก่าได้มากกว่าทุกวัน มีทั้งพัดลม หม้อหุงข้าว เสื้อผ้าเก่า และสิ่งของเครื่องใช้ครัวเรือนอื่น เพราะมีคนย้ายอพาร์ตเมนต์ออกไปพักที่อื่น ทำให้มีสิ่งของเหลือทิ้งเป็นจำนวนมาก” กาญจนา คุยอย่างอารมณ์ดี พร้อมเปิดใจบอกว่า เดิมอยู่จังหวัดพิษณุโลก เมื่อคลอดน้องโนเนมได้ไม่นานก็แยกทางกับสามีเก่า

...

ก่อน “หอบลูกน้อย” ย้ายหนีมาทำงานใน อ.เมืองสุโขทัย ทำให้ “พบรักธานินทร์” ระหว่างที่ยังประจำการเป็นพลทหารอยู่ เราทั้งคู่ต่างดูใจกันราว 6 เดือน “ฝ่ายชาย” ไม่มีท่าทีรังเกียจ “ลูกชาย” และให้การเลี้ยงดูเอาใจใส่ให้ความรักที่ดีมากเสมือนเป็นลูกแท้ๆคนนึงด้วยซ้ำ จึงตัดสินใจอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยามา 3 ปีแล้ว...

ปี 2560...ได้พากันย้ายเข้ากรุงเทพฯ หาเช่าห้องอยู่ด้วยกัน 5 คน ช่วงแรกๆ “สามี” ทำงานบริษัทรักษาความปลอดภัย ส่วน “แม่สามี” ทำงานบริษัททำความสะอาด และ “พ่อสามี” ขับวินมอเตอร์ไซค์ ส่วนกาญจนาก็เลี้ยงลูกอยู่ห้อง มีรายได้เฉลี่ย 10,000-20,000 บาท สามารถหมุนเวียนใช้จ่ายได้ ทั้ง...ค่าเช่าห้อง ค่าน้ำค่าไฟ ค่ากินค่าอยู่

มาถึงในต้นปี 2563 “โควิด-19 ระบาด” ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ทำให้หลายบริษัทต้องปิดตัวลง มีการปลดพนักงาน หรือบางแห่งก็ไม่รับพนักงานเพิ่ม ในจำนวนนี้สามีและแม่สามีก็ถูกปลดด้วยเช่นกัน

กลายเป็น “คนตกงาน” ไม่มีรายได้เข้ามาจุนเจือครอบครัว ทำให้เงินใช้จ่ายติดลบเพิ่มพูนมากขึ้น

สามีเคยตระเวนสมัคร รปภ.หลายเดือน และตัวเองก็เดินสมัครงานโรงงานหลายแห่ง แต่ไม่มีบริษัทใดรับเข้าทำงาน เพราะช่วงโควิด-19 ทำให้ไม่รับคนเพิ่มหรือพนักงานยังเต็ม ไม่มีตำแหน่งว่าง...

ซ้ำร้ายหลังเหตุการณ์ตกงานได้ไม่นาน “แม่สามีก็ล้มป่วย” ต้องรับการผ่าตัดกระดูกสันหลัง ส่วน “พ่อสามี” มีโรคประจำตัวมักเกิดอาการวูบเป็นลมหมดสติอยู่บ่อยๆ อีกทั้ง “น้องโนเนม” โชคร้ายกลับเป็นโรคหืดหอบด้วย สุดท้ายต้องนำเงินเก็บออมกันมาใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลกันจนหมด ทำให้ตอนนี้ต่างอยู่กันไปตามมีตามเกิด

แม้ปีนี้ “ลูกชาย” จะถึงวัยเข้าโรงเรียน และอีกไม่กี่วันต้องไปรายงานตัวเข้าเรียนใหม่ ก็ต้องหยุดไม่ให้ไป เพราะไม่มีเงินเสียค่าใช้จ่าย ทำให้วันนั้นถึงกับ “นอนร้องไห้” เพราะน้อยใจในโชคชะตาวาสนาชีวิต ไม่สามารถส่งลูกชายเข้าโรงเรียนเหมือนลูกคนอื่นได้

“ทุกครั้งเมื่อ “ลูก” บอกว่า แม่หนูอยากไปโรงเรียน หรือแม่หนูหิวข้าว ยิ่งทำให้ “หัวอกคนเป็นแม่ปวดใจมากที่สุด” เราก็ได้แต่ปลอบใจตัวเอง และปลอบใจลูกว่า “ปีหน้าก็จะมีเงินให้ลูกได้ไปเรียนหนังสือกับเพื่อนแล้ว และมีข้าวกินอิ่มท้องครบ 3 มื้อ” แต่ต้องทนรออีกนิดนะลูก...”

ทำให้ “น้องโนเนม” กระโดดโลดเต้น “ร้องไชโย” ด้วยความดีใจอยู่เสมอ เพราะทุกวันนี้ส่วนใหญ่มักเล่นกับ “แมวหรือสุนัข” ที่วิ่งอยู่แถวๆนี้เป็นหลัก

สถานการณ์ไม่ดีขึ้นเข้าเดือนกุมภาพันธ์ ตัดสินใจกับสามีออกมาหาเก็บของเก่าขายประทังชีวิต ให้มีเงินซื้อข้าวสารกรอกหม้อหากินไปวันๆ ไม่ให้ทุกคนหิว เน้นเก็บพวกอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าถูกทิ้ง เช่น หม้อหุงข้าว พัดลม เตารีด กาต้มน้ำร้อน แต่ไม่ค่อยเก็บขวด กระดาษ หรือพลาสติก เพราะขายได้ราคาน้อย

...

ถ้าโชคดีก็อาจได้ “เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น” เพื่อนำไปซ่อมแซมให้สามารถใช้งานได้ เพราะ “สามี” เมื่อครั้งเข้าไปเป็นพลทหาร หน่วยทหารได้ฝึกอบรมด้านวิชาชีพในการซ่อมแซมอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้มีความรู้ด้านนี้เพื่อนำไปขายเป็น “สินค้ามือสอง” ที่ตลาดนัดมือสองได้ราคาค่อนข้างดี

ทว่า...“เวลาเก็บของเก่า” มีความสำคัญมาก มักพากันออกในเวลา 22.30-00.30 น. เพราะเป็นช่วงจังหวะของชาวบ้านออกมาทิ้งขยะกันมากมาย ทำให้มีของเก่าถูกทิ้งหลายชนิด ในบางครั้งก็ถูก “ซาเล้งเจ้าอื่น” เข้ามา “เก็บตัดหน้าก็มี” ทำให้การคำนวณเวลามีส่วนสำคัญอย่างมากประการหนึ่ง...

อีกประการ...ถ้าออกมาช้าไป “รถขยะ กทม.” ก็เข้ามาเก็บขยะไปก่อนอีก ซึ่งในการเก็บแต่ละคืน ไม่ใช่จะหาได้เสมอ ดังนั้นทำให้เป็นข้อจำกัด “รายได้ไม่คงที่” แต่ถ้าขายจะได้เงินประมาณ 250-300 บาทต่อครั้ง

แม้เป็นจำนวน “เงินน้อยนิด” ก็ต้องทนทำกันดีกว่าไม่มีรายได้เลย เพื่อให้มีเงินซื้อข้าวให้ลูกได้กินอิ่มท้อง ไม่อยากให้เขาต้องทนหิว เพราะมีบ่อยครั้ง “ไม่มีข้าวให้กิน” ที่ต้องทนเห็น “น้องโนเนม” นอนเจ็บท้องร้องไห้ด้วย “ความหิว” ทำได้แต่เอา “น้ำห้องน้ำ” มาประทังความหิวโหยจนเหนื่อยนอนหลับไปเอง

“ยอมรับว่า...บางร้านรับซื้อของมือสอง ไม่ค่อยอยากจะรับซื้อไปขายต่อมากนัก เพราะมักคิดไม่ดีว่า “เราไปขโมยของคนมาขาย” แม้พยายามอธิบายเหตุผลต่างๆ สุดท้ายก็ไม่ยอมซื้อเช่นเดิม ทำให้เป็นปัญหาอุปสรรคอยู่ตลอดเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อร้านนี้ไม่ซื้อก็ใช้วิธีตระเวนไปขายให้กับร้านอื่นแทน” กาญจนา พูดไปก็ร้องไห้ไป

...

อยากให้เข้าใจว่า “เราจน” แต่ยอมทนหาเงินด้วย “อาชีพสุจริต” กลับถูกมองว่า “เป็นคนลักเล็กขโมยน้อย” ยิ่งทำให้รู้สึกท้อใจเสมือน “สังคม” พยายามผลักให้เป็นคนไม่ดีหรือไม่มีหนทางอื่นอาจนำไปสู่คิดสั้นก็ได้

ก่อนหน้านี้เคยมีหลายครั้ง...“คิดสั้นฆ่าตัวตาย” แต่เมื่อเห็น “เจ้าตัวเล็ก” ก็รู้สึกเป็นห่วง ถ้า “ตายไป” ก็ไม่รู้ว่า “อยู่กับใคร” เพราะเขามีแม่เพียงคนเดียว ทำให้ต้องทนมีชีวิตดิ้นรนสู้กันต่อไป แม้แต่ “แม่สามี” ยังเคยบ่นให้ฟังเสมอว่า “อยากตาย” ในวันที่ “ท้องหิว” ไม่มีข้าวกิน สุดท้ายครอบครัวต่างปลอบใจให้กันจนมาถึงวันนี้

ดังนั้นเมื่อไปไหน “น้องโนเนม” ต้องติดตามไปด้วยทุกที เพราะเขาติดแม่มาก ในหลายครั้งที่ออกเก็บขยะ “ฝนตกหนัก” ก็ร้องไห้ขอออกไปด้วยเสมอ เขาจะยืนตากฝนอยู่แบบนั้น จนพ่อกับแม่สงสารพากลับบ้านก่อน ซึ่งโชคดีที่ไม่ค่อยเจ็บป่วยเป็นไข้หวัด ยกเว้น โรคหอบหืดกําเริบ ที่ต้องไปหาหมอ...

จริงๆแล้ว...ไม่อยากให้ “ลูกชาย” เผชิญในสภาพนี้ และไม่อยากให้มาทนกับกลิ่นเหม็นขยะด้วยซ้ำ แต่เราเลือกเกิดไม่ได้ ทำให้ต้องยอมรับความจริง เพื่อสอนให้ “สู้ชีวิต” ในวันไม่มีกินต้องรู้จักดิ้นรนทำงานใน “อาชีพสุจริต” แต่ดีที่ไม่ค่อยงอแงร้องขอกินขนม หรืออยากได้อันนั้นอันนี้เหมือนเด็กคนอื่น

อย่างวันนี้...“เงินซื้อน้ำกิน” ยังไม่มีเลย ต้องกินน้ำห้องน้ำ ประทังความหิวโหยแทน ส่วน “ข้าวสาร” ไม่เหลือสักเม็ด ซึ่งไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไรเหมือนกัน คงต้องอดข้าวกันอีกวันเหมือนเคย!

ใคร...ไม่มาเผชิญสภาพนี้ไม่มีทางเข้าใจ “หัวอกคนอดมื้อกินมื้อ” อย่างพวกเราที่ต้องทนกับความลำบาก เพราะความจนไม่มีเงินซื้อข้าวกิน และเชื่อได้ว่าไม่มีใครอยากมาอยู่ในสภาพเช่นนี้แน่นอน แต่...เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ต้องทนยอมรับกับโชคชะตา “สู้” เพื่อคนที่เรารัก และมีชีวิตต่อไปให้ได้

...

ตอนนี้มีความหวังมีสิ่งที่อยากได้...คือ “รถพ่วงข้างขายลูกชิ้น” เพื่อนำมาตระเวนขายหารายได้ ในการตั้งหลักอาชีพใหม่ให้พอสามารถเลี้ยงปากท้อง 5 ชีวิตนี้ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่า “ความฝัน” จะเป็นจริงหรือไม่ เพราะเราก็พยายามหาเก็บของเก่ามาขายให้ได้มากที่สุด เพื่อนำมาเป็นทุนต่อยอดเรื่องนี้อยู่...

เราไม่ได้หวังผลกำไรมากมาย จนทำให้ร่ำรวย แต่นี่คือ...โอกาสความหวังอาชีพใหม่ เพื่อให้มีรายได้มา “ประทังความอยู่รอด” ให้มีชีวิตต่อไปได้เท่านั้น สุดท้ายขอฝากถึง...“ผู้ใจบุญ” หากประสงค์ช่วยเหลือได้ที่หมายเลขบัญชี ธ.ไทยพาณิชย์ 7222 352 382 ชื่อบัญชี กาญจนา จุนณะพันธ์ หรือติดต่อเบอร์ 08-4194-2303

อย่างน้อยคนละสิบบาท...ยี่สิบบาทรวมกันมากๆก็ช่วยต่อชีวิต “ครอบครัว” นี้ให้ลืมตาอ้าปากได้...ส่วน “คนช่วยเหลือ” ก็ได้ความ “อิ่มเอิบใจ” เกิดเป็นผลบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่จาก “การทำบุญ” โดยแท้จริง.