แพทย์ชี้ "อาการไขกระดูกบกพร่อง" ส่วนหนึ่งเกิดได้เองโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน ขณะที่ 1 ใน 3 ของผู้ป่วย จะมีการพัฒนาของโรคกลายเป็น "มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน" ได้

วันที่ 13 ก.ค. 2563 นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า อาการไขกระดูกบกพร่อง ส่วนหนึ่งเกิดได้เองโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน อีกส่วนหนึ่งเกิดหลังจากผู้ป่วยเคยได้รับยาเคมีบำบัด หรือการฉายรังสีมาก่อนในอดีต หรือได้รับสารเคมีบางอย่าง เช่น เบนซีน

ขณะที่ กลุ่มอาการไขกระดูกบกพร่อง หรือ MDS ไขกระดูกอยู่บริเวณแกนกลางของกระดูกชิ้นใหญ่ทั่วร่างกาย มีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดทุกชนิด ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด โดยภาวะปกติไขกระดูกจะสร้างเม็ดเลือดออกมาตลอดเวลา กลุ่มอาการไขกระดูกบกพร่อง หรือ MDS เป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากความผิดปกติของไขกระดูก ทำให้ไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดออกมาได้ ส่วนใหญ่พบในคนไข้ที่อายุมากกว่า 60 ปี และพบได้น้อยมากในคนไข้ที่อายุน้อยกว่า 40 ปี เมื่อร่างกายไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดชนิดต่างๆ ได้จะเกิดความผิดปกติ ได้แก่ โลหิตจางทำให้มีอาการซีด เม็ดเลือดขาวทำให้ร่างกายภูมิคุ้มกันลดลง เกล็ดเลือดต่ำทำให้เลือดออกง่าย

สำหรับกลุ่มโรคไขกระดูกบกพร่องนี้ ไม่ได้เป็นโรคที่ติดต่อทางพันธุกรรม จึงไม่ติดต่อสู่คนในครอบครัว การดำเนินโรคกรณีที่โรคเป็นไม่รุนแรง จะมีอัตราการรอดชีวิตอยู่ได้เกิน 6 ปี มักเริ่มจากสร้างเม็ดเลือดตั้งแต่ 1-3 ชนิดได้น้อยลง จนมีอาการโลหิตจาง เม็ดเลือดขาวต่ำและเกล็ดเลือดต่ำ หลังจากนั้นประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยจะมีการพัฒนาของโรคกลายเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันได้ ซึ่งเป็นชนิดรุนแรง มีอัตราการรอดชีวิตอยู่ที่ประมาณ 5 เดือน

ทางด้าน นายแพทย์ศักรินทร์ วงศ์เลิศศิริ ผู้อานวยการโรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การรักษาในกรณีที่โรคเป็นไม่รุนแรง และไม่ได้เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน โดยทั่วไปจะให้การรักษาโดยให้เลือด เกล็ดเลือด และยาฉีดกระตุ้นเม็ดเลือดขาว หรือเม็ดเลือดแดงขึ้น กับชนิดของเม็ดเลือดผู้ป่วยที่ต่ำ ซึ่งเป็นการรักษาแบบประคับประคอง แต่ในกรณีที่โรคเป็นรุนแรง หรือเริ่มกลายเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน การรักษาคือการปลูกถ่ายไขกระดูกหรือปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ ซึ่งสามารถทำให้หายขาดได้

...

อย่างไรก็ตาม จะสามารถทำได้เฉพาะผู้ป่วยบางรายเท่านั้น ในกรณีที่ไม่สามารถปลูกถ่ายไขกระดูกได้ อาจให้ยากลุ่มเคมีบำบัดแบบฉีดบางชนิด ร่วมกับการรักษาแบบประคับประคอง เพื่อให้เม็ดเลือดกลับมาใกล้เคียงกับปกติมากที่สุด.