...ถึงวันนี้ 6 พ.ค.2563 ผู้คนชาวโลกรู้จักมักคุ้นความหมาย “นิว นอร์มอล”--New Normal หรือ “ชีวิตปกติวิถีใหม่” มากขึ้นเพราะผลพวงโรคระบาดจากโคโรนาไวรัส 2019 “โควิด-19”
อย่างแรกคือ พฤติกรรมการใช้ชีวิตต้องปรับเปลี่ยน ผู้คนพากัน “ตระหนัก” สุขอนามัยมากขึ้น หน้ากากอนามัยกลายเป็นสิ่งจำเป็นอีกอย่างในชีวิตที่ผู้คนต้องสวมใส่และมีพกติดตัวเกือบตลอดเวลา
การเพิ่มความถี่ล้างมือด้วยน้ำหรือแอลกอฮอล์ พฤติกรรมการกินอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมต้องระมัดระวังมากขึ้น รูปแบบการ “ขากถุย” หรือ “พูดจาน้ำลายกระเด็น” ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะเชื้อโควิด-19 สามารถแพร่กระจายติดต่อได้จากสารคัดหลั่งจากร่างกายกระเด็นไปไกลหลายเมตร
การสัมผัสทักทายผู้คนต้องเปลี่ยนรูปแบบไม่ถูกเนื้อต้องตัวกัน “Social Distancing”--การเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลต้องถึงมากขึ้นในทุกกรณีที่ต้องพบปะผู้คนจำนวนมาก
ผลจากมาตรการ “ล็อกดาวน์” ปิดเมืองในหลายพื้นที่ทั่วโลกเพื่อชะลอหรือสกัดกั้นการแพร่กระจายของไวรัสชนิดนี้ ทำให้ผู้คนต่างแสดงออกอย่างหลากหลายมีทั้งประเภทเห็นแก่ตัว กักตุน ผลักดันเกลียดกลัว ขับไล่ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แสดงน้ำใจ พบเห็นอย่างกว้างขวางหลากหลาย
สิ่งที่น่ากลัวคือ “การปกป้องตนเองและต้องเอาตัวรอด” อาจยิ่งทำให้ผู้คนในสังคมเกิดความแปลกแยกมากขึ้น ทั้งเต็มไปด้วยความหวาดระแวงและแสดงออกถึงความรังเกียจผู้อื่น จนก่อเกิดปัญหาร้าวฉานตามมา
...
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอีกด้านหนึ่ง คือกระบวนการใช้เทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตเพิ่มขึ้นมาก ธุรกิจเกี่ยวข้องกับการสื่อสารผ่านระบบออนไลน์จะทำเงินมหาศาล รวมถึงธุรกิจค้าปลีก การศึกษาหาความรู้และความบันเทิง แต่ขณะเดียวกัน การเผยแพร่ข่าวหลอกข่าวลวงเพื่อผลประโยชน์อื่นใดก็ยิ่งเพิ่มขึ้นด้วย
ผู้คนจะเริ่มปรับตัวทำงานผ่านเครือข่ายการสื่อสารระยะไกลมากขึ้น เครื่องจักรกลและหุ่นยนต์จะถูกใช้งานแทนมนุษย์มากขึ้น ซึ่งก็ต้องแลกด้วยสถานการณ์ผู้คนตกงานมากขึ้น
ทุกชีวิตต้องดำเนินต่อไป แต่อย่าลืมว่า “โควิด-19” คือการต่อสู้ (อีกครั้ง) ของมวลมนุษย์กับโรคภัยไข้เจ็บ “ศัตรูที่มองไม่เห็น”--“สงครามครั้งนี้ไม่มีพรมแดน ไม่เลือกชนชั้น” และศึกครั้งนี้ยังอีกยาวนาน...
อานุภาพ เงินกระแชง