หากเอ่ยถึงชื่อของบริษัทชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมายาวนาน จะต้องมีชื่อของ ‘เอสโซ่และเอ็กซอนโมบิล’ รวมอยู่ในนั้นด้วย กว่า 125 ปีที่ผ่านมา การเดินเคียงข้างกับสังคมไทยเป็นมากกว่าการดำเนินธุรกิจให้เกิดดอกออกผล เพราะสิ่งที่งอกเงยมากกว่าในแผ่นดินนี้ คือการเติบโตร่วมกันหลายแง่มุม ทั้งส่วนหนึ่งของการพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศ ไปจนถึงการร่วมสร้างรอยยิ้มของผู้คนในสังคม การเฉลิมฉลองครบรอบ 125 ปีของ เอสโซ่และเอ็กซอนโมบิล ในครั้งนี้ จึงมีความหมายมากกว่า ‘ระยะเวลา’ หากแต่เป็นการแสดงออกถึงความผูกพันในฐานะพลังที่ขับเคลื่อนสังคมไทยด้วยเช่นกัน
125 ปี กับความผูกพันที่ต้องใช้เวลา
บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ บริษัทในเครือเอ็กซอนโมบิลในประเทศไทย เป็นที่รู้จักในฐานะบริษัทจัดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้ตรา ‘เอสโซ่’ และ น้ำมันหล่อลื่นภายใต้ตรา ‘โมบิล’ รวมถึงผลิตภัณฑ์เคมี ภายใต้ตรา ‘เอ็กซอนโมบิล’ ซึ่งเป็นชื่อที่ผู้บริโภครู้จักและคุ้นเคยมายาวนาน โดยเริ่มต้นธุรกิจครั้งแรกในราชอาณาจักรไทย ในปี พ.ศ. 2437 จากการที่ บริษัท แสตนดาร์ดออยล์แห่งนิวยอร์ก เข้ามาเปิดสาขาครั้งแรกในประเทศไทยที่ตรอกกัปตันบุช ซึ่งจำหน่ายน้ำมันก๊าดตราไก่และตรานกอินทรี ก่อนจะร่วมทุนกับบริษัทแสตนดาร์ดออยส์ (นิวเจอร์ซี) และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บริษัท แสตนดาร์ดแว๊คคั่มออยล์ จำกัด โดยใช้เครื่องหมายการค้า ‘ม้าบิน’ ในปี พ.ศ. 2476 และในปี พ.ศ. 2490 ก็รับซื้อกิจการคลังน้ำมันช่องนนทรีจากกรมเชื้อเพลิงมาดำเนินการ กระทั่งเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น บริษัท เอสโซ่ แสตนดาร์ด อีสเทอร์น จำกัด ในวันที่ 1 เมษายน 2505 และเปลี่ยนแปลงเครื่องหมายการค้าจาก “ตราม้าบิน” มาเป็น “ตราเอสโซ่” ในปี พ.ศ.2508 พร้อมกับการเติบโตเรื่อยมา
ปัจจุบันยังมีศูนย์ธุรกิจระดับโลกกรุงเทพ (Bangkok Global Business Center) ซึ่งจัดตั้งอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 โดยให้บริการงานด้านธุรกิจที่เครือข่ายบริษัทในเครือเอ็กซอนโมบิลทั่วโลก รวมถึงมีการพัฒนางาน และผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสู่สังคมไทย ทั้งนี้บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ บริษัทในเครือเอ็กซอนโมบิลในประเทศไทย ยังได้ขับเคลื่อนและดำเนินธุรกิจด้วยมาตรฐานสากล รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชน การศึกษา สิ่งแวดล้อม ตลอดจนความปลอดภัยและชีวอนามัยอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำเร็จ พร้อมเติบโตก้าวหน้าสู่อนาคตอย่างมั่นคง สร้างคุณค่าเพื่อเศรษฐกิจ สังคม และประเทศไทยโดยรวม
เฉลิมฉลองขวบปีที่มีความหมาย
ในวาระครบ 125 ปี ในครั้งนี้ มร.เจเรมี ออสเตอร์สต๊อก Thailand Lead Country Manager บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือเอ็กซอนโมบิลในประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมาบริษัทตั้งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจด้วยมาตรฐานสูงสุดอย่างยั่งยืน รวมทั้งร่วมส่งเสริมและสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชน การศึกษา ศิลปะ วัฒนธรรม ความปลอดภัยและชีวอนามัย ตลอดจนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยความใส่ใจสิ่งแวดล้อมนั้น บริษัทดำเนินนโยบายด้วยแนวคิด ‘ปกป้องวันพรุ่งนี้ในวันนี้’ จึงได้นำเทคโนโลยีและระบบการทำงานตามมาตรฐานสากลมาใช้ในการดำเนินงานเพื่อปกป้องและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และควบคู่กับการพัฒนาเทคโนโลยี บริษัทยังได้พัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่องผ่านหลักสูตรฝึกอบรมระดับสากลภายใต้กระบวนการทำงานที่ปลอดภัย ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชน เสมอมา
ในวาระพิเศษนี้ ‘เอสโซ่และเอ็กซอนโมบิล’ ยังได้จัดงานฉลองครบรอบ 125 ปีในประเทศไทย ภายใต้ธีม ‘Bond Together, Grow the Future’ หรือ 125 ปีแห่งความผูกพันกับพลังที่ขับเคลื่อนสังคมไทย ซึ่งมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ‘สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์’ ให้เกียรติเป็นประธานในงานฉลองครบรอบ 125 ปีครั้งนี้ ร่วมกับ มร.จอน กิบส์ ประธาน ExxonMobil Global Services Company ในโอกาสที่เป็นวาระอันดีซึ่งเป็นการรวมตัวของพันธมิตรที่เดินเคียงข้างกับ ‘เอสโซ่และเอ็กซอนโมบิล’ งานเฉลิมฉลอง 125 ปีในครั้งนี้ยังได้จัดเสวนาในหัวข้อ ‘Moving Forward to the Future’ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการก้าวสู่อนาคตในยุคดิจิทัล ในฐานะผู้ที่ร่วมการขับเคลื่อนธุรกิจและสังคมไปพร้อมกัน โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิชื่อดัง มาพูดคุยและแลกเปลี่ยนทัศนะที่มีคุณค่าอย่างมาก ทั้งจาก ดร.สุธาภา อมรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี อบาคัส จำกัด คุณทวีศักดิ์ แสงทอง กรรมการผู้จัดการ ออราเคิล คอร์ปอเรชั่น ประเทศไทย และ ดร. เอกก์ ภทรธนกุล ประธานหลักสูตร Master in Branding and Marketing ภาควิชาภาษาอังกฤษ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี ดร. ทวีศักดิ์ บรรลือสินธุ์ ผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท เอ็กซอนโมบิล เป็นผู้ดำเนินรายการ
การเฉลิมฉลอง 125 ปีของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยของ ‘เอสโซ่และเอ็กซอนโมบิล’ ในครั้งนี้ จึงเสมือนการตอกย้ำว่า การเดินทางร่วมกันมาในระยะเวลาที่ยาวนานนั้น มีคุณค่าและความหมายอย่างไรบ้างต่อกันและกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตัวเลข 125 ปี ก็ช่วยแทนค่าของข้อความที่ว่า “ความผูกพันต้องใช้เวลา” ได้อย่างดี