สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ สัปดาห์นี้มีเรื่องที่น่าสนใจ และมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงสังคมเป็นอย่างมากเกี่ยวกับการเสียชีวิตของพริตตี้คนหนึ่ง ซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตยังคงไม่ชัดเจน อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน รวมไปถึงรอการวินิจฉัยของแพทย์นิติวิทยาศาสตร์

ประเด็นปัญหาที่สังคมยังรอคำตอบ คือ สาเหตุการเสียชีวิต ผู้ตายเสียชีวิตเมื่อไหร่ ที่ไหน ใครมีส่วนเกี่ยวข้องบ้าง พนักงานสอบสวนจะตั้งข้อกล่าวหาอย่างไร ใครจะถูกแจ้งข้อกล่าวหาบ้าง และหากมีผู้กระทำความผิดจริง ผู้กระทำความผิดจะต้องรับโทษเพียงใด

ประเด็นสำคัญ เมื่อเกิดคดีที่มีลักษณะกระทบกระเทือนต่อความรู้สึกคนในสังคม กระแสสังคมมักจะวิพากษ์วิจารณ์ โดยอ้างอิงผลคำพิพากษาจากคดีเก่าๆ ที่ผ่านมาว่า กรณีแบบนี้ ศาลคงจะลดโทษให้จำเลยตามเคย ซึ่งไม่จริงเสมอไปครับ

วันนี้จึงขอนำเสนอตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดอย่างอุกอาจมิได้ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง และแสดงให้เห็นถึงสภาพจิตใจที่โหดเหี้ยมทารุณผิดวิสัยมนุษย์อันพึงมี ทั้งๆ ที่ได้รับการศึกษาสูงพอสมควร เป็นภาพสะท้อนอย่างดีให้เห็นถึงสังคมที่ย่อหย่อนในการอบรมทางด้านศีลธรรม จึงทำให้มีจิตใจแข็งกระด้างไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ โดยหากปล่อยให้สังคมมีการกระทำที่ป่าเถื่อนและล่วงละเมิดต่อกฎหมายบ้านเมืองอยู่ดังนี้ตลอดไป กฎหมายก็จะไร้ความศักดิ์สิทธิ์ ความสงบสุขในสังคมก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษา โดยไม่ลดโทษและมาตราส่วนโทษให้จำเลยนั้น นับว่าใช้ดุลพินิจในการลงโทษเหมาะสมตามพฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8688/2543

จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยอื่นใช้อาวุธมีดกระทำการหน่วงเหนี่ยวกักขังและกระทำอนาจารต่อผู้เสียหายทั้งสองบนรถยนต์โดยสารประจำทางต่อหน้าผู้โดยสารเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นก็บังคับพาตัวผู้เสียหายทั้งสองไปแล้วร่วมกันผลัดเปลี่ยนข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายทั้งสองอีกหลายครั้งผู้เสียหายร้องไห้และเพียรพยายามขอร้องจำเลยที่ 3 กับจำเลยอื่นเพื่อหยุดยั้งการกระทำดังกล่าว แต่ก็ไม่เป็นผล จะเห็นว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยอื่นกระทำอย่างอุกอาจมิได้ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง และแสดงให้เห็นถึงสภาพจิตใจที่โหดเหี้ยมทารุณผิดวิสัยมนุษย์อันพึงมีทั้งๆ ที่ได้รับการศึกษาสูงพอสมควร เป็นภาพสะท้อนอย่างดีให้เห็นถึงสังคมที่ย่อหย่อนในการอบรมทางด้านศีลธรรม จึงทำให้มีจิตใจแข็งกระด้างไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ ประการสำคัญผลจากการกระทำดังกล่าวเป็นการสร้างมลทินและตราบาปให้แก่ลูกผู้หญิงที่บริสุทธิ์ถึงสองคนไปตราบชั่วชีวิต โดยหากปล่อยให้สังคมมีการกระทำที่ป่าเถื่อนและล่วงละเมิดต่อกฎหมายบ้านเมืองอยู่ดังนี้ตลอดไปกฎหมายก็จะไร้ความศักดิ์สิทธิ์ ความสงบสุขในสังคมก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษา โดยไม่ลดโทษและมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ 3 ตามมาตรา 78 และ 76 นั้น นับว่าใช้ดุลพินิจในการลงโทษเหมาะสมตามพฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว

จากคำพิพากษาฉบับนี้ จะเห็นได้ว่า หากจำเลยกระทำความผิดอย่างอุกอาจ โหดเหี้ยม มิได้ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง และแสดงให้เห็นถึงสภาพจิตใจที่โหดเหี้ยมทารุณผิดวิสัยมนุษย์อันพึงมีแล้ว ศาลอาจจะใช้ดุลพินิจพิพากษาลงโทษจำเลยตามความเหมาะสมแห่งพฤติการณ์และรูปคดีก็ได้ ดังนั้น การที่จำเลยรับสารภาพไม่ได้หมายความว่า จำเลยจะได้รับการลดโทษทุกคดี

สำหรับท่านที่มีคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายและต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเรื่องราวดีๆ อยากแบ่งปันประสบการณ์ เมลมาหาผมที่ “คุยกับคนดัง” talktoceleb@trendvg3.com ได้เลยครับ หรือ Facebook: ทนายเจมส์ LK Instagram : james.lk