แห่บริจาคทะลุ 140 ล้าน ซับนํ้าตาให้ชาวอุบล นายกฯตั้งระดมด้วย จัดใหญ่-ผ่าน ‘จอทีวี’

“บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” หอบเงินสด 7 ล้านซับน้ำตาพี่น้องชาวอุบลฯ หลังประกาศควักเงินส่วนตัว 1 ล้านบาทแจกให้ครอบครัวละ 1,000 บาท พร้อมเปิดรับบริจาคสมทบและกระแสตอบรับเกินคาด ยอดพุ่ง กระฉูดแล้วกว่า 140 ล้าน เลยปรับเพิ่มเป็น 5,000 บาท ยันทุกบาททุกสตางค์ถึงมือชาวบ้านแน่นอน ชี้ไม่จงใจตบหน้ารัฐบาล ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้านนายกฯ หัวเสียหลังโดนวิจารณ์ไม่เหลียวแลผู้ประสบภัย ย้ำแจกเงินต้องผ่านระบบ เตรียมนำทีมออกทีวีระดมเงินผ่านรายการ “ร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ำท่วม” ด้านอุทกภัยเมืองดอกบัวยังวิกฤติ แม่น้ำมูลน้ำเอ่อท่วมบ้านมิดหลังคา ชาวบ้านร้องขอส้วมปลดทุกข์

สถานการณ์อุทกภัยยังไม่คลี่คลาย ถึงแม้น้ำจะลดลงบ้างแล้ว แต่ยังท่วมสูง โดยเฉพาะที่ จ.อุบลราชธานี ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ชุมชนริมแม่น้ำมูลฝั่งเทศบาลนครอุบลราชธานีและเขตเทศบาลวารินชำราบยังคงเดือดร้อนหนัก ขณะที่การช่วยเหลือยังไม่ทั่วถึง ด้านนายบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ นักแสดงชื่อดัง และ ผจก.ฝ่ายกิจการพิเศษ มูลนิธิร่วมกตัญญู ประกาศควักเงินส่วนตัว 1 ล้านบาทไปแจกให้ผู้ประสบภัยครอบครัวละ 1,000 บาท พร้อมเปิดให้ผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันซับน้ำตาพี่น้องประชาชน โดยมีผู้ร่วมบริจาคเป็นจำนวนมาก

...

“บิณฑ์” หอบ 7 ล้านแจกชาวอุบลฯ

ต่อมาเวลา 13.00 น. วันที่ 16 ก.ย. นายบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ นำเงินสดที่เบิกมาจากธนาคารจำนวน 7 ล้านบาทไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้านที่ประสบภัยในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี จุดแรกในชุมชนวังยาง ต.บุ่งหวาย อ.วารินชำราบ ชาวบ้านส่วนใหญ่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมูลและถูกน้ำท่วมอย่างหนักมานานกว่า 1 สัปดาห์แล้ว บางหลังน้ำมิดหลังคาบ้านไม่สามารถอาศัยอยู่ในบ้านได้ต้องอพยพออกไปอยู่ในศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ทางการจัดไว้ได้ โดยบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ เปิดเผยว่าตั้งใจมาช่วยพี่น้องชาวอุบลราชธานีก่อน เพราะ 2-3 วันก่อนได้ลงพื้นที่ไปช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยพบว่าทุกคนเดือดร้อนมาก และคาดว่ากว่าน้ำจะลดต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์

แจกเพิ่มครอบครัวละ 5,000 บาท

บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ กล่าวว่า สาเหตุที่นำเงินสดไปแจกให้ผู้ประสบภัย เนื่องจากช่วงที่ลงพื้นที่ไปช่วยเหลือได้นำถุงยังชีพข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นไปแจกจ่ายพบว่าพี่น้องประชาชนต่างรู้สึกดีใจที่ได้รับสิ่งของเหล่านั้น แต่พอเราเอาเงินไปให้พวกเขาแทบจะก้มกราบเลย ทำให้เห็นว่าการช่วยเงินน่าจะดีที่สุดสำหรับผู้ประสบภัย จึงนำเงินส่วนตัว 1 ล้านบาท และอยากเป็นสื่อกลางให้ผู้ที่มีความประสงค์จะช่วยร่วมกันบริจาคและจะทำให้โปร่งใสที่สุด ตอนแรกตั้งใจจะให้ครอบครัวละ 1,000 บาท ตอนนี้จะเพิ่มเป็นครอบครัวละ 5,000 บาท และวางแผนช่วยทั้งช่วงน้ำท่วมและหลังน้ำลดจะจัดหาอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้าไปให้

เผยยอดบริจาคทะลุกว่า 140 ล.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับยอดเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่ร่วมสนับสนุนผ่านบัญชี 0541226540 ธนาคารกสิกรไทย ชื่อบัญชี บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ช่วงเวลาประมาณ 19.00 น. วันที่ 16 ก.ย. มียอดเงินกว่า 140 ล้านบาท และยังคงเปิดรับ บริจาคต่อไปเรื่อยๆ เนื่องจากยังมีพี่น้องประชาชนเดือดร้อนอีกเป็นจำนวนมาก และในวันนี้นายบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ นำเงินสดลอตแรกรวม 7 ล้านบาทไปช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย อ.วารินชำราบรวม 2 จุดแรกชุมชนวังยางมีผู้เดือดร้อนรวม 146ครอบครัว อีกจุดที่ชุมชมหนองกินเพล 500 ครอบครัวครอบครัวละ 5,000 บาท ยอดเงินช่วยเหลือกว่า3 ล้านบาท โดยมีเอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ น้องชายฝาแฝดบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ เพื่อนดารานักแสดงพร้อมทีมงานร่วมกันนำเงินสดไปแจกให้ชาวบ้านถึงที่ และในช่วงเย็นเดียวกัน บิณ บรรลือฤทธิ์ แจ้งว่าบัญชีออมทรัพย์มีปัญหาและขอเปลี่ยนเป็นบัญชีกระแสรายวันธนาคารกสิกรไทย เลขที่บัญชี 7061037793 ชื่อบัญชี บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์

ซึ้งใจตั้งเป้าแค่ 5 ล. ได้กว่า 100 ล.

ด้านบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ เปิดเผยอีกครั้งระหว่างแจกเงินชาวบ้านว่า ขณะนี้เรื่องเงินรับบริจาคเลขบัญชีที่เปิดประเภทออมทรัพย์มีเงินเข้ามาเยอะ ทำให้ระบบการรับโอนเงินมันล่ม บางคนโอนมาแล้วตีกลับ เลยปรึกษากันขอเปลี่ยนบัญชีรับบริจาคใหม่เป็นกระแสรายวัน สำหรับเบอร์บัญชีใหม่ที่จะโอนเข้าหลังจากนี้จะเป็นบัญชีธนาคารกสิกรไทย กระแสรายวัน หมายเลขบัญชี 7061037793 สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า สามารถโอนเข้ามาได้ตลอดเวลามากเท่าไหร่ก็ได้ สำหรับเงิน 100 ล้านก้อนแรกที่เข้ามารู้สึกตกใจมาก เพราะความตั้งใจคิดว่าไม่เกิน 5 ล้านบาท ส่วนตัวเองอีก 1 ล้านเป็น 6 ล้านบาท คิดว่าคงจะได้ประมาณนั้น แต่ในวันแรกยอดเข้ามาประมาณ 10 ล้าน รู้สึกว่ายอดที่เข้ามามากมาย ทำให้เรารู้สึกว่าสามารถช่วยพี่น้องชาวอุบลราชธานีได้มากขึ้น แสดงว่าพี่น้องชาวไทยไม่ทอดทิ้งคนไทยด้วยกัน

...

ไม่จงใจตบหน้ารัฐบาล

“ผมรู้สึกซาบซึ้งใจมาก อยากได้ 1 ล้านบาทแต่กลับต่อยอดเป็นเงิน 100 กว่าล้าน ผมไม่เคยดีใจอะไรมากในชีวิตเท่าเรื่องนี้ ในส่วนที่เราจะมอบให้พี่น้องชาวอุบลฯครอบครัวละ 5,000 บาท เมื่อชาวบ้านเขาทราบก็ดีใจ เป็นแววตาที่เราเห็นพวกเขามีความสุข เราก็มีความสุขเช่นกัน และขอสัญญาเงินบริจาคที่มอบให้พี่น้องชาวจังหวัดอุบลราชธานี ผมขอรับรองว่าเงินทุกบาททุกสตางค์จะถึงชาวบ้านและเป็นประโยชน์ มากที่สุด” บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ กล่าวและว่า เรื่องนี้ไม่ได้จงใจตบหน้ารัฐบาล ไม่อยากให้โยงไปเรื่องการ เมือง ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ

นายกฯแจงแจกเงินต้องผ่านระบบ

ที่ห้องแกรนด์ไดมอน บอลรูม อาคารอิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี เวลา 09.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวตอนหนึ่งระหว่างเป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาบุคลากรภาครัฐ “ยุทธศาสตร์ชาติ ภาคปฏิบัติ : ร่วมขยับขับเคลื่อนภาครัฐเพื่อประชาชน” ถึงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมว่า วันนี้ประชาชนยังเกิดความไม่เข้าใจ มีคำถามว่าทำไมรัฐบาลไม่เอาเงินไปให้ประชาชนคนละ 5,000 บาท น้ำท่วมทำไมไม่แจกเงิน เพราะไม่มีเงินใช้ไม่มีเงินกินข้าว แต่ถามทำได้หรือไม่ คนกลุ่มหนึ่งมาพูดว่า ต้องทำอย่างนี้อย่างนั้น ทำไมนายกฯจึงไม่ใช้เงินหลวงหรือไม่ลงพื้นที่ไปตรวจ อะไรกันนี่ประเทศไทย 5 ปีที่ผ่านมาทำให้จับประเด็นได้คือ ประชาชนเคยชินกับสิ่งที่เคยได้ โดยไม่สนใจว่าจะถูกหรือผิดมาจนถึงทุกวันนี้ โดยไม่เข้าใจระเบียบราชการ ไม่ได้ตำหนิใคร เพียงอยากชี้ให้ทุกคนเห็นว่าโจทย์ประเทศอยู่ตรงไหน ไม่ใช่เห็นหน้ากันก็ขอแต่เงิน ถ้าตนมี ตนรวย หรือประเทศไทยรวยก็อยากให้จริงๆ ตนไม่โทษใครเพราะเขายังขาดแคลน แต่ข้าราชการต้องช่วยกันอธิบาย เพราะประชาชนไม่รู้จะขอใคร ก็ขอที่นายกฯ เราต้องจัดสรรให้จากเงินในระบบ ตามขั้นตอนโปร่งใส แต่พอไม่ให้ ก็มีคนมาพูดอย่างอื่น คนก็เชื่อกันไปหมด

...

ซัด จนท.กลัวจนไม่อยากทำงาน

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ทุกๆวันไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นนายกฯ คิดว่าทำอย่างไรจะแก้ไขปัญหาประชาชนได้ แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ดูเหมือนไม่รักประเทศ คิดแต่ประโยชน์ส่วนตัว ขอร้องต้องร่วมกัน แก้ปัญหา ไม่ใช่วันนี้พูดสร้างความขัดแย้ง มาพูดว่าทำไมรัฐบาลไม่ออกไปช่วย ทำไมไปภาคใต้ ไม่ไปอีสาน ทำไมไม่ไปลุยน้ำกับพวกเขา การบริหารจัดการน้ำ มี 60-70 หน่วยงาน และมาบอกว่า สทนช. บริหารไม่ดี ขอถามว่า 4-5 ปีที่ผ่านมา ค่าใช้จ่ายเยียวยาลดลงหรือไม่ ลดลง แต่ก็ยังต้องเสียเงินอยู่ ฝนตกน้ำท่วมก็โทษรัฐบาล ตนก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ฝนตกมา 5 วัน 500 มิลลิเมตร รู้กันบ้างหรือเปล่า รู้แต่ก็จะด่า สรุปว่าด่าได้ทุกเรื่อง พาดหน้าปกได้ ทุกวัน ตนไม่รู้จะทำอย่างไรกับตรงนี้ การสร้างการรับรู้ผิดไปหมด ทำให้เจ้าหน้าที่ก็ไม่อยากทำงาน เพราะทำแล้วก็โดนด่าเหมือนเดิมก็ไม่ทำเสียดีกว่า รู้ไหมสิ่งที่ท่านพูดเกิดผลอะไรกับประเทศ จะผิดจะถูกไปฟ้องกระบวนการศาลยุติธรรม ไม่ใช่พูดกันทุกวัน มาตัดสินได้หมดมันไม่ใช่ปฏิรูปกันบ้าง

ย้ำไปนครฯดูการป้องกันน้ำท่วม

...

นายกฯกล่าวต่อว่า เรื่องการบริหารจัดการน้ำ การขุดเพื่อใช้เป็นที่กักเก็บก็ใช้งบประมาณประจำปี ไม่ได้ไปกู้ใครที่ไหน ข้อมูลเหล่านี้บางทีประชาชนไม่รู้ บางที่ทำได้ บางที่ทำไม่ได้ ที่บอกว่าทำไมไม่ไปขุดตรงนั้นตรงนี้ ถ้าไปขุดบ้านคุณก็ไม่ยอมให้ขุดอยู่ดี นี่คือนิสัยคนที่ต้องแก้ไข แต่คนดีก็มีเยอะ ตนไปนครศรีธรรมราช เขาทำเขื่อน ประชาชนในพื้นที่ก็เสียสละเพื่อระบายน้ำออกสู่ทะเลให้เร็วที่สุด ตนไปตรวจเรื่องนี้ไม่ได้ไปตรวจเรื่องอื่น ตรวจเรื่องน้ำจากภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน ไปดูโครงการที่จะระบายน้ำ ต้องมีการขุดลอกคลองใหม่ เคยเกิดไหมไม่เคยมีหรอก พื้นที่กักเก็บน้ำ ระบายน้ำ แก้มลิง ทั้งชั่วคราวและถาวร จะเช่าพื้นที่ชาวบ้านได้หรือไม่ต้องคิดใหม่ทั้งหมด และยอมกันหรือไม่นั่นคือสิ่งสำคัญ ต้องทำให้ประชาชนเข้มแข็ง คิดเป็น ไม่เช่นนั้นคิดแทบตายก็เหมือนเดิม และต้องช่วยกันเสียสละ

“บิ๊กตู่” เตรียมออกทีวีระดมเงิน

ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 14.50 น. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากอุทกภัยทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และสร้างขวัญกำลังใจให้ประชาชน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม มีบัญชาให้ทุกภาคส่วนระดมความช่วยเหลือ และเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนแสดงน้ำใจไมตรี โดยรัฐบาลจะจัดรายการ “ร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ำท่วม” ในวันที่ 17 ก.ย. เวลา 19.30-22.00 น. ที่ห้องส่ง 5 อาคารปฏิบัติการ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) นายกฯพร้อม ครม.จะมารับบริจาคด้วยตนเอง มีการถ่ายทอดสดการออกอากาศตลอดการจัดรายการผ่านช่อง 9 MCOT HD

เผยยอดกองทุนน้ำท่วม 790 ล้าน

นายเทวัญกล่าวอีกว่า ขอเชิญชวนประชาชนทุกภาคส่วนรับชมรายการและร่วมบริจาคเงินเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี บัญชีธนาคารกรุงไทยจำกัด (มหาชน)สาขาทำเนียบรัฐบาล เลขที่บัญชี 067-0-06895-0สามารถนำหลักฐานการบริจาคนำไปลดหย่อนภาษีได้ ส่วนสิ่งของนำไปบริจาคได้ที่กรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) อย่างไรก็ตาม กองทุนฯ มีงบฯอยู่แล้ว 790 ล้านบาท ส่วนที่วิจารณ์ว่ารัฐบาลช่วยเหลือล่าช้านั้นไม่ใช่ รัฐมนตรีทุกคนผลัดเปลี่ยนกันลงไปเยี่ยมประชาชนทุกวันทุกกระทรวงต่างช่วยกันเร่งรัด และนายกฯลงไปหลายรอบแล้ว

จ่ายเงินเยียวยาตายได้ 5 หมื่น

ด้านนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วมว่า รัฐบาลจะจ่ายเงินเยียวยาช่วยเหลือตามระเบียบทางราชการ หากมีผู้เสียชีวิตครอบครัวจะได้รับเงินรายละ 50,000 บาท กรณีบ้านเรือนเสียหายทั้งหลังจะได้เงินช่วยเหลือประมาณ 200,000 บาทต่อหลัง และเสียหายบางส่วนจะช่วยเหลือตามความเป็นจริงตั้งแต่ 15,000-70,000 บาท รวมทั้งยังช่วยเหลือจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่างๆ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เป็นไปตามหลักปฏิบัติที่ผ่านมา ขอให้ผู้ประสบภัยมั่นใจรัฐบาลจะไม่ทอดทิ้งอย่างแน่นอน ส่วนการบริหารจัดการเงินและสิ่งของบริจาคจะดำเนินการอย่างโปร่งใส โดยทุกจังหวัดจะมีคณะกรรมการดูแลเพื่อให้เงินบริจาคและการจัดส่งสิ่งของถึงมือผู้ประสบภัยอย่างถูกต้องทั่วถึง นายกฯสั่งการให้ทุกหน่วยทำงานอย่างรอบคอบรัดกุม ต้องไม่มีเรื่องร้องเรียนทุจริตอย่างเด็ดขาด

“พท.” จี้จัดงบช่วยน้ำท่วมด่วน

ที่พรรคเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรค พร้อมแกนนำพรรค ร่วมประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับ ส.ส.และทีมงานของพรรคในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี โดยได้รายงานสถานการณ์ในพื้นที่ตรงกันว่า ขณะนี้น้ำท่วมถึงชั้น 2 ของบ้านเรือนแล้ว คาดว่าจะใช้เวลา 1-2 เดือน กว่าน้ำจะแห้ง ชาวบ้านต้องอาศัยกินนอนอยู่บนถนนเพราะไม่กล้าทิ้งบ้านเนื่องจากมีโจรผู้ร้ายงัดบ้าน อยากฝากให้นายกฯและรัฐบาลสั่งข้าราชการหน่วยต่างๆ ลง พื้นที่กำหนดให้ชัดว่า หน่วยไหน รับผิดชอบจุดไหนพื้นที่ใด จากนั้นคุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า พรรคจะให้ ส.ส.ตั้งกระทู้ในสภาฯเพื่อสะท้อนปัญหา รวบรวมปัญหาในพื้นที่เพื่อขอความช่วยเหลือในสภาฯ หลังน้ำลด และขอวิงวอนรัฐบาลว่างบฯไหนที่ไม่ควรใช้ หรือไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ขอให้จัดสรรงบฯใหม่ลงไปช่วยพี่น้องหลายแสนครอบครัวที่ประสบภัยน้ำท่วม

น้ำมูลยังสูง–หมาหนีขึ้นหลังคา

ขณะที่สถานการณ์อุทกภัยใน จ.อุบลราชธานี ล่าสุดระดับน้ำในแม่น้ำมูลที่สถานีวัดระดับน้ำ M7 สะพานเสรีประชาธิปไตย อ.เมืองอุบลราชธานี ช่วงเวลา 06.00 น. วันที่ 16 ก.ย. วัดได้ 115.76 ม.รทก. ลดลงจากวันที่ 15 ก.ย. 12 ซม. อัตราการไหล 4,950 ลบ.ม./วินาที ระดับน้ำแม่น้ำมูลสูงกว่าแม่น้ำโขง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี 14.26 เมตร ส่วนระดับน้ำมูลที่เขื่อนปากมูลสูงกว่าแม่น้ำโขงที่ห้วยสะคาม อ.โขงเจียม 2.32 ม. ทำให้แม่น้ำมูลไหลลงสู่แม่น้ำโขงเร็วขึ้น ขณะที่หลายชุมชนในเขตเทศบาลนครอุบลราชธานีและเทศบาลเมืองวารินชำราบยังได้รับความเดือดร้อน โดยเฉพาะชุมชนหาดสวนยา ริมแม่น้ำมูล ฝั่งเทศบาลเมืองวารินชำราบ บางหลังท่วมจนมิดหลังคา บางคนน้ำสูงจนถึงชั้น 2 เจ้าของต้องย้ายหมาแมวที่อาศัยอยู่ในบ้านหนีอยู่บนหลังคาบ้านและรอผู้ใจบุญพายเรือเอาอาหารไปให้

ชาวบ้านร้องขอส้วมปลดทุกข์

นายสุพิศ บุญนาค อายุ 62 ปี ชาวบ้านชุมชนหาดสวนยา เผยว่า น้ำท่วมบ้านมิดหลังคาต้องอพยพออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืดวันที่ 5 ก.ย.จนขนข้าวของออกมาแทบไม่ทัน แม่น้ำมูลขึ้นเร็วมาก เกิดมาเพิ่งเคยเจอน้ำมูลขึ้นเกือบเมตรในเวลาไม่กี่ชั่วโมงชาวบ้านในชุมชนต้องหนีน้ำมาสร้างเพิงพักบนเชิงสะพาน 200 ปีรัตนโกสินทร์ ความเป็นอยู่แสนลำบาก ตอนกลางวันอากาศร้อนมาก ต้องอาศัยร่มไม้เกาะกลางถนน กลางคืนถ้าโชคร้ายฝนตกน้ำรั่วเข้าเพิงพักนอนไม่ได้ สิ่งที่อยากได้มากที่สุดตอนนี้คือส้วม เพราะจุดที่อพยพอยู่กันกว่า 200 คน ไม่มีส้วมใช้เลยต้องใช้ผ้าใบล้อมเป็นห้องอาบน้ำและปัสสาวะ แต่ถ้าจะถ่ายหนักลำบากมากต้องขี่จักรยานยนต์ข้ามสะพานไปเข้าห้องน้ำที่ตลาดใหญ่ หรือปั๊มน้ำมันในเขตเทศบาลนครอุบลราชธานีห่างไปกว่า 300 เมตร อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลในส่วนนี้ เพราะคาดว่าน้ำท่วมอีกไม่ต่ำกว่า 3 สัปดาห์แน่นอน

ตะครุบโจรลักแบตเตอรี่เรือ

เมื่อคืนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองอุบลราชธานี ร่วมกับทหารประจำหน่วยประสานงาน ศูนย์อำนวยการบรรเทาสาธารณภัย กองทัพภาคที่ 2 ที่ปฏิบัติภารกิจช่วยผู้ประสบอุทกภัยอยู่บริเวณเชิงสะพานเสรีประชาธิปไตย อ.เมืองอุบลราชธานี ออกลาดตระเวนทางน้ำเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยและทรัพย์สินชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วม หลังเกิดเหตุคนร้ายขโมยแบตเตอรี่เรือบริเวณท่าน้ำวัดบูรพาและถูกเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมไว้ได้ พ.ต.ท.ปราโมทย์ ชื่นตา รอง ผกก. (สอบสวน) สภ.เมืองอุบลราชธานี เผยว่า เรือลำดังกล่าวเป็นของ น.ส.ศศิกมล พุ่มนางแย้ม อายุ 28 ปี ชาว จ.สมุทรปราการ นำมาช่วยผู้ประสบภัยและจอดไว้ที่ท่าน้ำวัดก่อนถูกนายศักดา กุลแก้ว อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 71/1 ซอยบูรพานอก 2/1 ต.ในเมือง อ.เมืองอุบลราชธานี แอบขโมยแบตเตอรี่ 1 ลูกไปซ่อนไว้ข้างรั้ววัด อ้างว่าจะนำไปขายนำเงินไปซื้อเหล้า ทั้งที่บ้านตัวเองก็โดนน้ำท่วมเหมือนกัน จึงแจ้งข้อหาลักทรัพย์ผู้อื่นในเวลากลางคืน

“บ้านไผ่” พ้อรัฐไม่เหลียวแล

บ่ายวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านในชุมชนมิตรภาพ ซอย 4 ต.บ้านไผ่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ภายหลังน้ำลดจนกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว แต่ชาวบ้านหลายครอบครัวยังกลับเข้าบ้านไม่ได้ เพราะบ้านพังไปกับกระแสน้ำทั้งหลัง นางบัวรอง เขาเบา อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 357/15 หมู่ 20 ชุมชนมิตรภาพ ซอย 4 ต.บ้านไผ่ กล่าวว่า บ้านถูกกระแสน้ำพัดพังทั้งหลัง ข้าวของ เครื่องใช้ลอยไปกับกระแสน้ำ ทำให้สิ้นเนื้อประดาตัว ขณะนี้ไม่มีบ้านอยู่ ต้องสร้างเพิงพักชั่วคราวพอได้ซุกหัวนอนกับสามีและลูกชายวัย 12 ปี ที่เรียนหนังสืออยู่ชั้น ป.6 อยากวิงวอนให้หน่วยงานราชการเร่งช่วยเหลือเรื่องที่อยู่อาศัยก่อนเป็นอันดับแรก เพราะไม่มีปัญญาสร้างบ้านได้อีกแล้ว บ้านหลังนี้เก็บเงินมานานกว่า 2 ปี หมดเงินไป 2 แสนบาท แต่ถูกน้ำพัดพังไปในพริบตา ขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานราชการใดเข้ามาให้ความช่วยเหลือ วิงวอนเข้ามาดูแลด้วยเพราะครอบครัวเดือดร้อนหนักในการใช้ชีวิตประจำวัน

น้ำป่าท่วมทางเข้าน้ำตกพลิ้ว

ที่ จ.จันทบุรี ช่วงเย็นวันที่ 15 ก.ย. เกิดฝนตกกระหน่ำติดต่อกันหลายชั่วโมงในพื้นที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว ต.พลิ้ว อ.แหลมสิงห์ กระทั่งค่ำน้ำป่าจากเทือกเขาสระบาปไหลลงสู่ลำธารเอ่อท่วมเส้นทางเข้าอุทยานฯน้ำตกพลิ้ว เจ้าหน้าที่ต้องเก็บข้าวของเครื่องใช้ภายในสำนักงานหน้าประตูทางเข้าหนีน้ำ ส่วนร้านค้าบ้านเรือนประชาชนและสวนผลไม้ได้รับความเสียหาย ถนนหลวงหมายเลข 3 สายจันทบุรี-ตราด ช่วงทางเข้าอุทยานฯ หน้าวัดมังกรบุปผาราม แยกศูนย์วิจัยพืชสวนพลิ้ว ต.พลิ้ว ถูกน้ำท่วมสูงกว่า 60 ซม. ระยะทางกว่า 400 เมตร รถยนต์วิ่งผ่านไม่ได้ ต้องเปลี่ยนไปใช้เส้นทาง อ.มะขาม ไปยัง อ.ขลุง จ.จันทบุรี และ จ.ตราด หลังเกิดเหตุกว่า 4 ชั่วโมง น้ำที่ท่วมทางเข้าอุทยานฯ สามารถใช้สัญจรได้ ส่วนพื้นที่ทางน้ำตอนล่างไล่ตั้งแต่ ต.พลิ้ว, ต.ตะปอน อ.ขลุง และ ต.คมบาง อ.เมืองจันทบุรี เจอปัญหาน้ำทะเลหนุนทำให้การระบายช้าเอ่อท่วมบ้านและสวนผลไม้ได้รับความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง และระดับน้ำค่อยๆลดลงเรื่อยๆและเข้าสู่สภาวะปกติในช่วงเช้ามืดวันรุ่งขึ้น

ระทึกช้างถูกน้ำซัดคาลำธาร

จ.ตราด เช้าวันเดียวกัน นายวัชระ สุนทรภักดี ผู้อำนวยการส่วนทรัพยากรน้ำ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดตราด ร่วมกับเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลเกาะช้างและอาสากู้ภัยสมาคมสว่างบุญตราด เขตเกาะช้าง ตรวจสอบซากช้างเพศผู้ที่ถูกน้ำป่าซัดบริเวณริมลำธารคลองพลู หมู่ 4 ต.เกาะช้าง อ.เกาะช้าง จ.ตราด ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาตลอดเวลา มีนายนา ริน ควาญช้างชาว กัมพูชา ของปางช้างชุติมันทัวร์ พาไปดูจุดเกิดเหตุ สอบถามได้ความว่า ช้างเชือกดังกล่าวเป็นช้างให้บริการนักท่องเที่ยวอายุประมาณ 40 ปี ช่วงเช้าวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา ช้างเกิดอาการตกมันเลยนำมาผูกกับต้นไม้ใหญ่ริมธารห่างจากปางช้างราว 100 เมตร ต่อมาช่วงบ่ายพบช้างหายไป จึงร่วมกันเพื่อนๆช่วยกันตามหา และเจอซากช้างตายในช่วงเย็น จึงแจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ เบื้องต้นคาดว่าช่วงดังกล่าวเกิดฝนตกหนักและน้ำป่าไหลตามลำธารซัดช้างไปตามกระแสน้ำกระแทกกับก้อนหินและจมน้ำตาย หลังน้ำลดจึงนำเชือกมาผูกซากช้างไว้ และนำรถแบ็กโฮมาลากช้างขึ้นจากลำธาร เพื่อให้เจ้าหน้าที่ชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้งก่อนนำไปฝังกลบต่อไป

ชลประทานยันสิ้นเดือนน้ำแห้ง

ที่กรมชลประทาน นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า เนื่องจากอิทธิพลพายุไป๋ลู่จนถึงคาจิกิพัดผ่านทางภาคอีสานต่อเนื่อง ทำให้เกิดน้ำท่วมหลายพื้นที่ โดยมวลน้ำได้ไหลบ่าจากแม่น้ำชี และแม่น้ำมูลตอนบนมาท่วมเมืองอุบลราชธานี ประเมินว่ามวลน้ำสูงสุดที่ไหลมาหนุนสถานีวัดน้ำ M.7 บริเวณสะพานเสรีประชาธิปไตย จ.อุบลราชธานี ถึงจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 13 ก.ย. คาดว่ามวลน้ำกว่า 2,000 ล้าน (ลบ.ม.) กรมชลประทานได้ติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ 160 เครื่อง เร่งผลักดันน้ำออกสู่แม่น้ำโขงได้วันละกว่า 500 ล้าน ลบ.ม. ประกอบกับขณะนี้ระดับน้ำโขงอยู่ต่ำกว่าแม่น้ำมูล 1.50 เมตร ทำให้การระบายน้ำเป็นไปได้ด้วยดี คาดว่าสถานการณ์น้ำของ อ.วารินชำราบ จะเข้าสู่ภาวะปกติภายในสิ้นเดือนนี้

อุตุฯเตือนฝนตกหนักอีกระลอก

ด้านกรมอุตุนิยมวิทยา คาดหมายสภาพอากาศว่า ช่วงนี้ภาคกลางตอนล่างภาคตะวันออก ภาคใต้ตอนบนยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่และฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณจังหวัดระยอง จันทบุรี ตราด ระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่ ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนัก และฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย ส่วนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีปริมาณฝนลดลงในระยะนี้ สำหรับทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองและเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 17 ก.ย.