ไม่มีใครเถียงปุ๋ยอินทรีย์ดี...แต่ไม่ใช่จะดีเลิศประเสริฐศรีเหมือนที่รัฐมนตรีบางคนมโนไปในแบบไร้ความรู้ทางวิชาการเกษตร

ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนมีทั้งข้อดีข้อเสียปนเปกันไปทั้งนั้น เหมือนเหรียญสองด้านนั่นแหละ

ที่มีนโยบายจะรณรงค์ให้เกษตรกรไทยลดใช้ปุ๋ยเคมี หันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ทำให้ได้ผลผลิตมีคุณภาพและปลอดภัยแทน เพราะปุ๋ยเคมีทำดินพัง เป็นตัวการทำต้นทุนสูง...นั่นรู้จริงกันแค่ไหน

อย่างที่บอกไปแล้ว ปุ๋ยอินทรีย์ พืชจะนำธาตุอาหารไปใช้เลี้ยงบำรุงใบดอกผลทันทีไม่ได้...ต้องรอกระบวนการให้จุลินทรีย์ย่อยสลายธาตุอาหารเสียก่อนพืชถึงจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้

ไม่เหมือนปุ๋ยเคมี...ใส่ไปปุ๊บพืชดูดเอาไปใช้ประโยชน์ได้ ทันที

และรู้มั้ย ปุ๋ยอินทรีย์ที่เชื่อกันว่าปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ต่อผู้บริโภคนั้นจริงแค่ไหน

กระบวนการย่อยสลายของปุ๋ยอินทรีย์นอกจากจะต้องใช้เวลานานนับเดือนแล้ว กระบวนการนี้ยังทำให้เกิดการปล่อยก๊าซมีเทน อันเป็นตัวก่อให้เกิดปัญหาโลกร้อน

แค่นั้นไม่พอ กระบวนการย่อยสลายที่เกิดขึ้นยังทำให้จุลินทรีย์ในดินเจริญเติบโตขยายพันธุ์ได้มากขึ้น ทำให้มีจุลินทรีย์บริโภคออกซิเจนมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

ส่งผลให้ดินขาดออกซิเจน นอกจากดินจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น ยังทำให้เกิดไนตรัสออกไซด์ในดินมากขึ้น ฝนตกลงมาชะล้างลงสู่แหล่งน้ำ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งได้นะท่าน

และปุ๋ยอินทรีย์ที่คุยกันว่าช่วยลดต้นทุนได้ดีกว่าใช้ปุ๋ยเคมีนั่นจริงแค่ไหน

รู้มั้ย ขี้ค้างคาว ปุ๋ยคอกที่จัดว่าดีที่สุด 8 กก., ปุ๋ยขี้ไก่ 12 กก., ขี้เป็ด 14 กก., ขี้หมู 18 กก., ขี้วัว 40 กก., ปุ๋ยหมัก 44–70 กก. มีธาตุอาหารหลักเท่ากับปุ๋ยเคมี 1 กก.

...

ลองให้คณะท่านที่ปรึกษารอบตัวไปหาราคาปุ๋ยแต่ละชนิดมาลองคำนวณคูณกันเล่นๆดู แล้วจะรู้ว่า ปุ๋ยอินทรีย์ กับปุ๋ยเคมี อันไหนจะทำให้ต้นทุนแพงกว่ากันนะท่าน.

สะ–เล–เต