“ชุมชนเราจะเลี้ยงหนอนไหม สาวเส้นไหม ส่งไปยังพื้นที่ภาคอีสานเพื่อทอผ้า หลังจากการสาวไหม จะเหลือรังไหมจำนวนมาก ชาวบ้านนำมาแปรรูปเป็นดอกทิวลิป พวงกุญแจ ขายห้าบาทสิบบาท ช่วงแรกขายดิบขายดี แต่หลังๆช่วงปี 2548 ตลาดเริ่มนิ่ง เพราะมีที่อื่นทำเหมือนกัน เลยขายไม่ออก ชาวบ้านเริ่มขาดรายได้ แต่ด้วยเราชอบงานออกแบบจึงเริ่มคิดชิ้นงานจากรังไหม

ช่วงแรกๆเก็บข้อมูลหาแนวคิดพฤติกรรมผู้ซื้อ จากนั้นเข้าหาหน่วยงานต่างๆเพื่อขอการสนับสนุนทั้งทุน นักออกแบบ แต่ไม่มีใครสนใจ เพราะชาวบ้านคิดว่า รังไหมทำได้แค่เพียงพวงกุญแจ ดอกทิวลิป ไม่เหมือนกับผ้าไหมทอ ที่บางผืนราคาหลักหมื่นบาท เลยเกิดความท้อ แต่ถอยไม่ได้เพราะในหมู่บ้าน นอกจากมีรังไหมจำนวนมาก ชาวบ้านยังต้องการรายได้เสริมช่วงว่างเว้นจากการทำไร่นา”

นายกิตติศักดิ์ ขจรภัย ประธานแบรนด์โซคูล ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ ชุมชนตำบลบ้านน้อย อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี จึงกลับมาตั้งหลักใหม่ ด้วยการหาแนวคิดผ่านโซเชียล กระทั่งพบเจอโครงการโอทอป โกอินเตอร์ของกรมการพัฒนาชุมชน...เป็นจุดเริ่มต้น โดยมีนักออกแบบจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ มาช่วยคิดนำพฤติกรรมแนวคิดของคนหนุ่มสาวมาผสานกับธรรมชาติเป็นโจทย์คิดชิ้นงาน กลายเป็นโคมไฟจากรังไหมรูปทรงก้อนเมฆเย็บด้วยมือ ที่สามารถปรับเปลี่ยน รูปทรง ด้วยการบีบหรือขยายตัวออกได้อย่างอิสระ

...

กิตติศักดิ์ บอกถึงวิธีการทำรูปโคมไฟก้อนเมฆ...เริ่มแรกนำรังไหมมาตัดส่วนมุมป้านกลมบนล่างออก ส่วนนี้นำมาย้อมสีใช้ตกแต่งกระเป๋า ส่วนที่เหลือแยกให้เป็นทรงสี่เหลือม นำมาเย็บด้วยมือต่อกันเป็นโคมไฟทรงก้อนเมฆขนาด 12 นิ้ว ใช้รังไหม 600 รัง เย็บ 4 วัน ขายได้ราคา 2,900 บาท

ต่างจากพวงกุญแจ ใช้รังไหมเท่ากัน แต่ขายได้แค่ 300 บาท

ส่วนโคมไฟขนาด 1 เมตร ใช้รังไหม 5,000 รัง ใช้เวลาเย็บ 14 วัน ราคา 15,000 บาท และผลิตถาดใส่ของ กระเป๋า แจกัน กล่องทิชชู ฯลฯ

จากรังไหมที่ไม่มีใครสนใจ วันนี้สามารถส่งขายได้ทั้งในญี่ปุ่น ยุโรป สิงคโปร์ ฮ่องกง สยามพารากอน และคิง เพาเวอร์ รางน้ำ แต่ละเดือนสร้างรายได้กลุ่มไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท...ส่งผลให้อาชีพเสริมแปรเปลี่ยนเป็นรายได้หลักของชุมชนตำบลบ้านน้อยไปเป็นที่เรียบร้อย.


เพ็ญพิชญา เตียว