ชะตากรรมของนักสืบรุ่นใหม่มักไปไม่ถึงเก้าอี้ที่วาดหวัง ผลพวงมาจาก อำนาจนอกรั้ว สุมหัว “แก๊งไอ้โม่ง” จับโยงบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายทำลายระบบ

พวกก้มหน้าก้มตาตั้งใจทำแต่งานกลับถูก “ผู้เป็นนาย” หมางเมิน เพราะห่างเหินไม่ไปเอาอกเอาใจแบบเช้าถึงเย็นถึง

ดึงให้ตัวเองไม่เจริญก้าวหน้าในอาชีพ ทั้งที่มีผลงานและฝีมือ “ชื่อชั้น” เหนือกว่าบางคน

หลายคนอยู่กันแบบซังกะตายเจอรุ่นน้องข้ามหัวมานั่งเป็น “นาย” ชอบหิวกระหายยืนนโยบาย “กินรวบ” ไม่สนเนื้องานตามตำแหน่งหน้าที่ เพราะขาดบารมีความเป็นผู้นำ

หน่วยสืบสวนเกือบทั่วประเทศในปัจจุบัน ล้วนมี “เหลือบไร” ที่ถูก “อำนาจนอกรั้ว” โยนมาสร้างความปั่นป่วนชวนให้อุดมการณ์ของคนทำงานเป๋

ส่งผลให้ความคิดที่อยากเป็นนักสืบตาม เก็บกวาดเหล่าร้าย เพื่อความสงบสุขของสังคมเปลี่ยนไปในทางเดิน เก็บผลประโยชน์นอกระบบ ดีกว่า

พล.ต.ต.ปรีชา ธิมามนตรี อดีตรอง ผบช.สตม. ตำนานนักสืบระดับอาจารย์เคยฝากข้อคิดไว้ก่อนเกษียณอายุราชการเมื่อหลายปีก่อน

เขาบอกว่า นักสืบขาดแคลน ขาดกำลังใจ เพราะไม่มีความก้าวหน้า

“ขณะเดียวกันผู้บังคับบัญชาขาดความรู้ความสามารถและประสบการณ์งานสืบสวน แถมยังแนะนำให้ทำการสืบสวนผิดวิธี” พล.ต.ต.ปรีชาชำแหละภาพชัดเจน “สำคัญสุด คือ ผู้มีอิทธิพล นักการเมือง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามาแทรกแซงการทำงาน”

สุดท้าย ค่าตอบแทนในการสืบสวนเหมือนถูกทอดทิ้งให้ออกไปหากินเอง

เจ้าตัวสัมผัสความแตกต่างระหว่างอดีตกับปัจจุบันในวันที่ไม่มี “ผู้เป็นนาย” เติบโตมาจากงานสืบสวนเป็นอย่างดี

นักสืบชั้นดีถึงได้เวลาหมดพันธุ์.

...

"สหบาท"