ประพฤติมิชอบ อีกคน-ให้ออกไม่ให้ข้าราชการอื่นๆ “เอาเยี่ยงอย่าง”

เข้มข้นแต่ต้นปี “กรมคุก” ไล่ออก 5 ผู้คุมประพฤติมิชอบ มีทั้งถูกจับคดีร่วมกันฆ่า ลอบเอายาเสพติดเข้าเรือนจำเอาหมึกสักให้ผู้ต้องขัง ละทิ้งหน้าที่เกิน 15 วัน และตรวจพบฉี่ม่วง นอกจากนี้ยังมีมติให้ออกอีก 1 รายด้วย โดยยอดรวมเมื่อปี 61 มีผู้คุมถูกไล่ออก ปลดออก และให้ออกไปรวมแล้ว 43 ราย

ราชทัณฑ์เข้ม ไล่ออก 5 ผู้คุมประพฤติมิชอบ โดยเมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 5 ม.ค. พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า กรมราชทัณฑ์ได้จัดการประชุมคณะอนุกรรมการสามัญ กรมราชทัณฑ์ เพื่อพิจารณาลงโทษข้าราชการผู้กระทำ ผิดวินัย ปี 62 ครั้งที่ 1/2562 ขึ้น เมื่อวันที่ 4 ม.ค. โดยที่ประชุมมีมติพิจารณาลงโทษข้าราชการกรณีกระทำผิดวินัย 6 ราย มีมติไล่ออกจากราชการ 5 ราย มีพฤติการณ์ต่างๆ คือ 1.ถูกตำรวจจับกุม และดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต 2.มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด และลักลอบนำยาเสพติดเข้าเรือนจำ 3.นำหมึกสักเข้าไปให้ผู้ต้องขังภายในเรือนจำ และได้รับผลประโยชน์ตอบแทน 4.ละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่า 15 วัน 5.ตรวจปัสสาวะ ผลปรากฏพบสารเสพติดประเภทเมทแอมเฟตามีนในปัสสาวะ และละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่า 15 วัน

“นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติให้ออกจากราชการอีก 1 ราย ด้วยพฤติการณ์นำยา B5 (Benzhexol) ในแต่ละเม็ดยา มีสรรพคุณในการรักษาโรคพาร์กินสัน ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท จัดเป็นยาอันตราย 5 เม็ด เข้าไปให้ผู้ต้องขังในเรือนจำฯ ถือเป็นสิ่งของต้องห้าม ตามที่กรมราชทัณฑ์มีคำสั่งตั้งแต่วันที่ 21 ส.ค.58 ให้เรือนจำ ทัณฑสถาน สถานกักขังและสถานกักกันทุกแห่ง เข้มงวดกวดขันในการจ่ายยาดังกล่าว” พ.ต.อ.ณรัชต์กล่าว

...

พ.ต.อ.ณรัชต์เผยอีกว่า ในปี 2561 กรมราชทัณฑ์มีมติพิจารณาลงโทษข้าราชการที่ทำผิดวินัย ซึ่งได้ไล่ออก ปลดออก และให้ออกไปรวม 43 ราย ด้วยพฤติการณ์ที่ทำให้เกิดความเสื่อมเสีย และมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน กรมราชทัณฑ์ได้เน้นย้ำให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกคน ปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมาย แต่ยังคงมีข้าราชการส่วนน้อยที่มีพฤติการณ์กระทำผิด กรมราชทัณฑ์มิได้นิ่งเฉยต่อการกระทำของบุคคลเหล่านี้ ได้พิจารณาลงโทษผู้กระทำผิด เพื่อมิให้เป็นแบบอย่างกับข้าราชการอื่นๆ ตลอดจนเป็นการสร้างความเชื่อมั่น ให้กับประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ต่อไป