สมกับที่ได้รับความไว้วางใจให้มาคุมหน่วยเป็นมือทำงานของแม่ทัพนครบาล
ตั้งแต่เข้ามาทำหน้าที่ พ.ต.อ.จิรกฤต จารุภัทร์ ผู้กำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี (ดส.) ปรับทีมให้ “พลิกฟื้น” ศักยภาพหน่วยพิสูจน์ผลงาน ลบคำสบประมาทเป็น “หน่วยเฉพาะเก็บ” ไม่ค่อยได้ออกอาวุธ โชว์เขี้ยวเล็บ ของสังกัดประจักษ์แก่สายตาชาวบ้าน
ทั้งที่เป็นหน้างานต้องกำจัดภัยสังคม ป้องกันภัยร้าย ที่จะเกิดกับเด็กเยาวชนและสตรี
พ.ต.อ.จิรกฤตใช้ความเป็นนักสืบที่ตัวเองถนัด ถ่ายทอดตำราสืบสวนแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา กำชับลูกน้องช่วยออกเก็บกวาดอาชญากรรมทุกประเภท คดีเกี่ยวกับยาเสพติด รวมถึงแหล่งอบายมุข สถานที่มั่วสุมของวัยรุ่น
อีกทั้งงานติดตาม “เด็กหาย”
เจ้าตัวเน้นย้ำเสมอว่า ต้องตามให้เจอ ทำให้เต็มที่ ถ้าเด็กกลับบ้านเอง หรือใครเจอก่อนก็ดีไป แต่ถ้าเกิดเรื่องร้ายจะเป็น “ตราบาปไปตลอดชีวิต” ว่าตำรวจไม่ทำอะไร
ถึงต้องทำให้เต็มที่เสมือนเป็นลูกหลานตัวเอง
ล่าสุด กก.ดส.รับแจ้งจากพ่อของเด็กพิเศษวัย 12 ปี วิ่งหนีพ่อออกจากวัดมหาธาตุ ตอนแรกคิดว่าจะกลับบ้านบางกะปิเองได้ เพราะปกติจะหนีแบบนี้แล้วกลับบ้าน แต่พอผ่านไป 2 วันยังไม่มีวี่แวว พ่อร้อนใจไปแจ้งตำรวจท้องที่ ส่งเรื่องต่อมายังหน่วย
ตำรวจ ดส.ระดมกำลังเต็มที่ แห่รูปเด็กตั้งแต่จุดเริ่มที่เจอครั้งสุดท้าย ไล่กล้องวงจรปิดรอบสนามหลวง บนรถประจำทาง ถามหาพยานตั้งแต่จุดขึ้นและลงรถ เดาเส้นทางเช้ายันค่ำไปถึงรังสิต ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ควบคู่กับการประสาน มูลนิธิกระจกเงา
พวกเขาลุยเต็มที่ เพราะเป็นห่วงชะตากรรมของเด็ก
ใช้เวลานานเกินกว่า 5 วันถึงมีคนพบเด็กนอนอยู่ป้ายรถเมล์ย่านตลาดพลู
ผกก.ดส.มองว่า ไม่สำคัญหน่วยไหนจะเจอ หากทำเต็มที่ให้สุดความสามารถแล้วเด็กปลอดภัยดีกว่าไม่ทำอะไรแล้วเกิดเรื่องร้ายภายหลัง “คนตายเรายังรับรู้ว่าเขาจากไปแล้ว แต่คนหาย เราไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหน ชีวิตจะเป็นยังไง” พ.ต.อ.จิรกฤตยอมรับ
...
ใจคนที่รอมันทรมานอย่างบอกไม่ถูก!!!
สหบาท