สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ สัปดาห์นี้มีเรื่องที่น่าสนใจ ที่มีผู้เข้ามาปรึกษาในเพจทนายเจมส์ LK เรื่องเกี่ยวกับกรณีมีผู้หญิงท่านหนึ่ง ตกลงซื้อเสื้อผ้าจากแม่ค้าออนไลน์ ผ่าน Facebook โดยชำระเงินค่าเสื้อผ้าผ่านทางบัญชีธนาคารของแม่ค้าออนไลน์ และส่งเสื้อผ้าทางไปรษณีย์ แต่เมื่อแม่ค้าออนไลน์ได้รับยอดเงินโอนจากผู้เสียหายแล้ว ก็แสดงธาตุแท้ออกมา ด้วยการบล็อก Facebook ของผู้เสียหายทันที เมื่อผู้เสียหายรู้ตัวว่าถูกหลอกแน่แล้ว ก็ดำเนินการแคปหน้าจอข้อความที่ได้สนทนาไว้เป็นหลักฐาน และเป็นความโชคดีที่ผู้เสียหายที่ได้แคปหน้าจอ Facebook ของแม่ค้าออนไลน์เอาไว้ก่อนที่จะถูกบล็อก โดยมีภาพหน้าตาของแม่ค้าออนไลน์ชัดเจน พร้อมกับนำข้อมูลหลักฐานไปแจ้งความดำเนินคดีกับมิจฉาชีพในคราบแม่ค้าออนไลน์
ต่อมาผู้เสียหายได้นำภาพหน้าจอ Facebook ของแม่ค้าออนไลน์ ซึ่งมีรูปใบหน้าของแม่ค้าออนไลน์ รวมไปถึงข้อความที่ได้สนทนากัน ไปโพสต์ในกลุ่มของผู้ที่ค้าขายเสื้อผ้ามือสอง เพื่อเตือนภัยไม่ให้แม่ค้าออนไลน์ หรือว่าผู้ที่ต้องการซื้อเสื้อผ้าหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพรายนี้ ซึ่งภาพหน้าจอ Facebook ที่ผู้เสียหายได้แคปเอาไว้นั้น มีรายละเอียดเลขที่บัญชีธนาคาร เบอร์โทรศัพท์ และชื่อนามสกุลของเจ้าของบัญชีครบถ้วน
การตั้งกระทู้ดังกล่าวนั้น ทำให้มีผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะแสดงความคิดเห็นในทำนองด่าทอมิจฉาชีพในคราบแม่ค้าออนไลน์ มีบางคนแสดงความคิดเห็นว่ามิจฉาชีพรายนี้ หากินในลักษณะนี้มาสองถึงสามปีแล้ว โดยมียอดเงินในบัญชีเข้าออกในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก และบางคนรู้จักเจ้าของภาพตัวจริง จึงได้ส่งข้อมูลการโพสต์ข้อความของผู้เสียหายรายดังกล่าว แจ้งไปยังเจ้าของภาพตัวจริง
...
เรื่องราวกลับตาลปัตร จากความหวังดีในฐานะผู้เสียหายคนหนึ่ง แต่เกือบจะถูกแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328 มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาท เนื่องจากภาพประจำตัว Facebook ของแม่ค้าออนไลน์คนดังกล่าวนั้น ไม่ใช่ภาพใบหน้าของมิจฉาชีพตัวจริง โดยมิจฉาชีพได้นำภาพใบหน้าของบุคคลอื่นมาใช้เป็นภาพประจำตัวใน Facebook และเจ้าของภาพตัวจริงยังได้ส่งภาพบัตรประจำตัวประชาชนไปให้ผู้เสียหาย เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ โดยชื่อนามสกุลของเจ้าของภาพตัวจริง ไม่ตรงกับชื่อนามสกุลเจ้าของบัญชีธนาคารที่มิจฉาชีพได้ส่งให้แก่ผู้เสียหาย กรณีนี้มีการเจรจาปรับความเข้าใจกันได้ ข้อพิพาทจบลงด้วยดี มีการลบโพสต์ และโพสต์ข้อความขอโทษผู้ที่เป็นเจ้าของภาพตัวจริงด้วย
นอกจากนี้ ยังเคยมีเหตุการณ์ที่มีผู้เสียหายนำเอาชื่อนามสกุลของเจ้าของบัญชีไปโพสต์ประจานในโลกออนไลน์ หรือโพสต์เพื่อเตือนภัย แต่ต่อมาในภายหลังกลับปรากฏว่าเจ้าของบัญชีดังกล่าวนั้น เป็นบัญชีธนาคารของแม่ค้าออนไลน์ที่ถูกมิจฉาชีพนำมาใช้เป็นเครื่องมือ เพื่อหลอกเอาสินค้าจากแม่ค้าออนไลน์เจ้าของบัญชี โดยมิจฉาชีพจะให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าไปในบัญชีของแม่ค้าออนไลน์ และมิจฉาชีพจะให้แม่ค้าออนไลน์ส่งสินค้าไปยังที่อยู่ของมิจฉาชีพแทน หรือเจ้าของบัญชีอาจจะเป็นเพียงแพะรับบาปที่มิจฉาชีพหลอกให้เปิดบัญชีธนาคาร หรืออาจจะเป็นกรณีที่มิจฉาชีพขอยืมบัญชีธนาคารของผู้อื่นไปใช้ก่อเหตุหลอกลวงเหยื่อก็มีให้เห็นเป็นประจำ
เหตุการณ์ครั้งนี้ จึงเป็นอุทาหรณ์เป็นอย่างดีให้กับผู้ที่มีความหวังดีต่อเพื่อนมนุษย์ อยากจะเตือนภัยให้กับผู้อื่นและสังคม ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ หรือโจรออนไลน์ ส่วนตัวผมสนับสนุนให้มีการโพสต์เตือนภัยแบบนี้นะครับ เนื่องจากการรอเจ้าหน้าที่บ้านเมืองหรือใช้กฎหมายก็อาจจะไม่ทันการณ์ แต่ก็ควรระมัดระวังความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ตกเป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพด้วย
ดังนั้น การโพสต์ภาพใบหน้าของมิจฉาชีพ หรือชื่อนามสกุลของมิจฉาชีพ เพื่อเตือนภัยนั้น หากยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า ภาพใบหน้าใน Facebook หรือชื่อนามสกุลดังกล่าวนั้น เป็นของมิจฉาชีพจริงๆ ท่านควรโพสต์ข้อความในลักษณะเป็นการให้ข้อมูลเบื้องต้น เช่น ใช้คำว่า น่าจะ อาจจะ คาดว่า หรือเบื้องต้นเท่าที่มีหลักฐานปรากฏ ฯลฯ ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับผู้ที่ตกเป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพตัวจริง และยังเป็นการป้องกันตัวเองจากการถูกฟ้องคดีหมิ่นประมาท เนื่องจากข้อความที่ไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริงนั้น ไม่เป็นความผิดในข้อหาหมิ่นประมาท
สำหรับท่านที่มีคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายและต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเรื่องราวดีๆ อยากแบ่งปันประสบการณ์ เมลมาหาผมได้ที่ “คุยกับคนดัง” talktoceleb@trendvg3.com ได้เลยครับ
Facebook: ทนายเจมส์ LK