นำร่องหักเงินเดือนข้าราชการกู้ กยศ. ได้ผล จ่อขยายสู่เอกชนขนาดใหญ่
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการติดตามการชำระหนี้สิน กยศ. ว่า หลังจากที่ กยศ.ได้เริ่มนำร่องหักเงินเดือนผู้กู้ กยศ.ที่เป็นข้าราชการและลูกจ้างประจำของกรมบัญชีกลางเป็นหน่วยงานแรกแล้ว ซึ่งพบว่าได้รับความร่วมมือจากต้นสังกัดและลูกหนี้ กยศ. เป็นอย่างดี และในเดือน ต.ค.นี้จะเริ่มหักเงินเดือนลูกหนี้ในหน่วยงานราชการอื่นๆที่ผ่านระบบจ่ายเงินเดือนตรงจากกรมบัญชีกลางประมาณ 2 แสนคน จากนั้นในต้นปี 2562 จะเริ่มหักเงินเดือนลูกหนี้ในส่วนของพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีอยู่ประมาณ 2 แสนคน และภาคเอกชนประมาณ 8-9 แสนคน โดยจะนำร่องในหน่วยงานที่มีพนักงานเป็นแสนคนก่อน ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมา กยศ.เก็บเงินได้ประมาณ 2.6 พันล้านบาท และจะติดตามหนี้ให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นเงินหมุนเวียนปล่อยกู้ได้ต่อเนื่อง โดย 2 ปีที่ผ่านมา กยศ.ไม่ได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินในการปล่อยกู้เลย
ผู้จัดการกองทุน กยศ. กล่าวอีกว่า ถ้าระบบทุกอย่างเรียบร้อยจะเริ่มหักเงินเดือนลูกหนี้ กยศ.ที่มีอยู่ทั้งหมดต่อไป คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี จะส่งผลให้การค้างชำระหนี้และการถูกฟ้องร้องลดลง ซึ่งในแต่ละวันมีผู้โทรศัพท์เข้ามาติดต่อสอบถามเกี่ยวกับการชำระหนี้ กยศ.เพิ่มมากขึ้น จากเดิมมีเดือนละประมาณ 5 หมื่นสาย แต่เฉพาะเดือน ก.ย. มีโทรศัพท์เข้ามาประมาณ 2 แสนสาย และมีคนเข้ามาติดต่อที่สำนักงานเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว อีกทั้ง พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 ยังมีส่วนเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกองทุนฯ ที่ให้อำนาจ กยศ.เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของลูกหนี้ได้และแจ้งหน่วยงานต่างๆหักเงินเดือนได้เลย ส่วนลูกหนี้ที่ไม่อยู่ในระบบประมาณ 1 ล้านกว่าคนนั้น ขณะนี้ลูกหนี้ที่ใช้โทรศัพท์มือถือ กยศ.มีเบอร์โทรศัพท์ของทุกคนแล้ว แต่ถ้าลูกหนี้คนใดที่ติดต่อไม่ได้ก็จะดำเนินการฟ้องร้อง อย่างไรก็ตาม ถ้าใครโดนฟ้องร้องไม่ต้องตกใจ ให้ไปที่ศาล เพราะยังให้โอกาสได้ผ่อนชำระได้อีก 9 ปี
...
“กยศ.ให้กู้ไปประมาณ 5 แสนกว่าล้านบาท จากลูกหนี้ประมาณ 5 ล้านคน ปิดบัญชีไปแล้วประมาณ 8-9 แสนคน เสียชีวิตประมาณ 5 หมื่นคน อยู่ระหว่างปลดหนี้ประมาณ 1 ล้านคน อยู่ระหว่างผ่อนชำระ 3 ล้านคน ในจำนวนนี้ผิดนัดชำระหนี้ 2 ล้านคน และ กยศ.ดำเนินการฟ้องร้องแล้ว 1 ล้านคดี มีหนี้เสียที่ผิดนัดชำระประมาณ 7 หมื่นล้านบาท” นายชัยณรงค์กล่าว.