นับแต่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ป่าวประกาศบอกให้โลกรู้ “จิ้งหรีด” เหมาะที่จะเป็นอาหารโปรตีนแหล่งใหม่ของชาวโลก ทำเอาผู้คนบนโลกทั้งยากดีมีจนที่รังเกียจแมลงพันธุ์นี้หันมาให้ความสนใจทดลองชิมจิ้งหรีดกันยกใหญ่

เกษตรกรไทยไม่น้อยหน้ามีความไวในการรับกระแสโลก หันมาเลี้ยงจิ้งหรีดกันใช่น้อย... เพราะเป็นอาชีพที่ลงทุนต่ำ ใช้พื้นที่ไม่มากเท่าทำไร่ทำนา แถมยังได้ผลตอบแทนเร็วกว่า ดีกว่าเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่

เลี้ยงได้มาตรฐานดีที่สุดในแถบเอเชีย

นับแต่สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ได้กำหนดมาตรฐานฟาร์มเลี้ยง และร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตร ส่งเสริมให้เกษตรกรทำฟาร์มเพาะเลี้ยง โดยมีกรมปศุสัตว์ทำหน้าที่ตรวจสอบรับรองฟาร์มเลี้ยงมาตรฐาน GAP

จนวันนี้อาชีพเลี้ยงจิ้งหรีดไม่ธรรมดา ธุรกิจพัฒนาไปถึงขั้นนำมาอบแล้วป่นให้เป็นผงผสมทำเป็น “แป้งจิ้งหรีด (CRICKET POW-DER)” ส่งไปขายยุโรป สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย เพื่อนำแป้งจิ้งหรีดไปแปรรูปทำเส้นพาสตา คุกกี้ เค้ก สปาเกตตี และซีเรียลบาร์...ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

...

“ตลาดต่างประเทศต้องการมาก เพราะโปรตีนที่ได้จากจิ้งหรีดไม่ใช่โปรตีนธรรมดาอย่างเนื้อหมู เนื้อไก่ แต่เป็นโปรตีนเวย์ไม่มีไขมันตกค้าง เป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้สร้างกล้ามเนื้อได้อย่างรวดเร็ว ช่วยเสริมสร้างมัดกล้ามเนื้อให้มีขนาดใหญ่ขึ้น จึงเป็นที่ต้องการของนักเพาะกล้าม นอกจากนั้น โปรตีนเวย์ที่ได้จากจิ้งหรีดยังเหมาะกับกลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็ง เพราะช่วยควบคุมการกระจายตัวของเซลล์มะเร็ง”

พิศาล พงศาพิชณ์ รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ให้เหตุผลทำไมจิ้งหรีดถึงเป็นที่ต้องการของตลาดโลก เพราะผลการศึกษาของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พบว่า โปรตีนที่ได้จากจิ้งหรีด 100 กรัม มีโปรตีนเวย์มากถึง 80%...ในขณะที่ เนื้อหมู ไก่ และวัว 100 กรัม มีโปรตีน 29-31% แต่ไม่มีโปรตีนเวย์เลย

กินจิ้งหรีดแค่ 1 ตัว เท่ากับกินเวย์โปรตีนแคปซูล 1.5 เม็ด

สำหรับผู้ที่ต้องการเพาะกาย ไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินซื้อหาเวย์โปรตีนจากต่างประเทศให้สิ้นเปลือง นายพิศาล แนะทำง่ายๆแค่นำจิ้งหรีดที่มีขายอยู่ ทั่วไปมาคั่ว อบ ทำให้สุกแล้วรับประทานเพียงแค่นี้ จะได้โปรตีนคุณภาพสูง แบบไม่ต้องกังวลว่าจะมีไขมันตกค้าง ให้กลายเป็นมนุษย์อ้วนลงพุง.

เพ็ญพิชญา เตียว