“ผมมีความยินดีที่จะแชร์เรื่องราวเพื่อเป็นวิทยาทานกับคนในสังคม แต่ผมกับแฟนขออนุญาตไม่เปิดเผยตัวจริง ผมอยากให้สังคมได้รับรู้เรื่องราวที่ผมคิดว่า สำหรับผมมันคือ "ความประทับใจและความโชคดี" ที่ได้มาเจอคู่ชีวิตคนนี้ แม้คู่ชีวิตของผมเป็นผู้ติดเชื้อ HIV แต่เราก็มีความสุขและรักกันได้เพราะใจและความดีครับ

นายเอ (นามสมมติ) วัยสามสิบต้นๆ เริ่มบทสนทนากับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์เป็นสื่อแรก ที่บ้านแห่งความรักและอบอุ่นของทั้งสองในจังหวัดหนึ่งของภาคกลาง พร้อมเผยเรื่องราวดีๆ รักแท้ร่วมเพศที่ทั้งเศร้าและประทับใจ แม้รู้ภายหลังตัดสินใจใช้ชีวิตคู่กับนายบี (นามสมมติ) ร่วมกัน 2 ปี ว่าติดเชื้อ HIV แต่ไม่รังเกียจ ทอดทิ้ง คอยดูแลและอยู่เคียงข้างนายบีเสมอมา

...

อุบัติรัก บนโลกออนไลน์ ปลายปี 57 เหตุการณ์ร้ายทำให้ใช้ชีวิตร่วมกัน

นายเอสบตาสื่อรักกับนายบีที่นั่งอยู่ข้างกาย เล่าเส้นทางรักกับทีมข่าวว่าเกิดขึ้นเมื่อเดือน ธ.ค. 57 โดยรู้จักกันผ่านแอป แอปหนึ่งในโลกออนไลน์ คุยและศึกษาดูใจกันจนเข้าเดือนที่ 2 ก็เกิดเหตุการณ์ร้ายทำให้ตกลงใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน

“ผมเป็นเกย์ (รุก) อายุสามสิบต้นๆ เกิดในครอบครัวคนจีน เป็นหลานชายคนเดียวของตระกูล ส่วนแฟน แก่กว่าผม 5 ปี แฟนอายุสามสิบกลางๆ (รับ) ผมกับแฟนรู้จักกันผ่านแอป แอปสีส้ม คุยกันได้สักระยะ วันหนึ่งผมถูกปล้น รวมค่าเสียหายร่วมแสน วันนั้นผมไม่มีสติเลย สมองเบลอไปหมด โทรบอกแฟน เขาก็รีบมาหา

คืนนั้นเราไม่ได้นอนกันเลย ผมก็เครียด แฟนก็เป็นห่วง และช่วยปลอบจนเรียกสติกลับมา แล้วเราก็เปิดใจคุยกันมากกว่าเดิมในทุกๆ เรื่อง จนแฟนพูดว่า “เอางี้ไหม ไหนๆ เราก็เคยถูกปล้น ไลฟ์สไตล์ของเราก็เหมือนกัน เรามาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไหม ผมเคยคบคนอื่นมา แต่ก็ไม่เคยจริงจัง และต้องการใช้ชีวิตร่วมกัน”

และจากที่ดูใจกันมา ผมชอบนิสัยของแฟนที่เอาใจเก่ง เป็นคนคิดดี มีจิตเมตตา เป็นผู้ตาม ผู้ฟังที่ดี เสมอต้นเสมอปลายทั้งกับผม แม่ พี่น้อง แม่มีปัญหาอะไร แฟนช่วยคิดแก้ไขตลอด ผมไม่สบาย ทุกข์ร้อนอะไร แฟนก็ไม่ทิ้ง ความแกร่งของเขาที่เคยผ่านเรื่องราวชีวิตมาหลายๆ มุม ทำให้จิตใจผมที่เจอปัญหาหลายๆ อย่างรุมเร้าแล้วรู้สึกระทวยก็แกร่งขึ้นได้ ผมเลยโทรบอกแม่เพื่อขออนุญาต และส่งโทรศัพท์ให้แฟนคุยกับแม่ด้วย” นายเอเล่าถึงเหตุผลคิดสร้างครอบครัวคู่เกย์

เจอคนที่ "ใช่" ก็ไม่อยากให้ "หลุดลอยนวล" 

จากเหตุการณ์ร้ายวันนั้น ทั้งสองตกลงใช้ชีวิตร่วมกันฉันสามีภรรยาจนถึงปัจจุบันร่วม 3 ปี แล้ว ทางบ้านของทั้งสองต่างรับรู้ โดยร่วมกันสร้างครอบครัวเล็กๆ ด้วยความรัก ความอบอุ่น แชร์ทุกๆ เรื่องร่วมกัน เงินเดือนของนายบีจัดสรรส่งให้แม่ของแต่ละฝ่าย ส่วนเงินเดือนของนายเอก็นำมาจ่ายค่าสาธารณูปโภคในบ้าน แบ่งเก็บ แบ่งใช้หนี้ที่สร้างร่วมกันทั้งบ้าน รถ สิ่งของต่างๆ ในบ้าน

ทั้งสองรับรู้เรื่องราวชีวิตของกันและกันทุกเรื่อง แม้กระทั่งโรคประจำตัว ซึ่งนายเอเล่าว่าตั้งแต่เริ่มคบกัน แฟนบอกว่า "เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว" และถามว่า “จะคบกันต่อหรือเปล่า” ซึ่งนายบีบอกกับทีมข่าวว่า ว่าหากนายเอยอมรับไม่ได้ก็ยินดีปล่อยมือจากกัน แต่ด้วยความรักที่ก่อตัวแล้วของทั้งคู่ อีกทั้งการกระทำต่างๆ ของนายบี ทำให้นายเอมั่นใจและรับรู้ได้ว่า เป็นคนดีทั้งด้านความคิด มุมมอง และจิตสำนึกที่ดีในหลายๆ ด้าน เลยตัดสินใจคบกันต่อ โดยบอกเหตุผลที่ซึ้งกินใจว่า “มะเร็งก็มะเร็งสิ ไม่เห็นจะเป็นไร ยังไงก็คบต่อ มาถึงจุดที่มันเจอคนที่ใช่ ก็ไม่อยากให้หลุดลอยนวลไป”

นอกจากนี้นายเอก็ได้ทำหน้าที่สามีที่ดี หาข้อมูลทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวจากหอสมุดมาเป็นปึ๊ง หรือแม้กระทั่งอาหารการกิน โดยยึดหลักโภชนาการบำบัด คอยดูแลเอาใจใส่เพื่อให้แฟนสามารถต่อสู้กับโรคที่เป็นได้ และไปหาหมอด้วยกันทุกครั้ง เพื่ออยากให้แฟนหายและอยู่กับตนไปนานๆ

...

ความจริงกระจ่าง จาก "มะเร็งเม็ดเลือดขาว" แท้จริงคือ "ติดเชื้อ HIV"

แต่หลังจากทั้งสองใช้ชีวิตอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาครบ 2 ปี ความจริงถูกเปิดเผย เนื่องจากความผิดปกติทางร่างกายของแฟนที่ฟ้องขึ้นมา เริ่มเกิดขึ้นในเดือน พ.ย. 59 ด้วยอาการคันตามตัว และสุดท้ายเป็นงูสวัดทั้งตัว ต้องหยุดทำงานไปครึ่งเดือน จากนั้นก็ป่วยเรื้อรังและมีอาการแทรกซ้อนมาเรื่อยๆ จนนายเอสังเกตได้ว่า โรคที่แฟนเป็นไม่ใช่มะเร็งเม็ดเลือดขาวแน่นอน จึงเค้นถาม จนรู้ว่าแท้จริงแล้วคือ “ติดเชื้อ HIV” ซึ่งเป็นโรคที่ชาวรักร่วมเพศกลัวมากที่สุด

คืนแห่งความจริงนั้น เกิดขึ้นเดือน เม.ย. 2560 เวลา 21.30 น. นายเอบอกว่าเป็นคืนที่จำได้ ไม่มีวันลืม เมื่อตัดสินใจถามแฟนขณะนอนป่วยซมว่า "คุณมีอะไรปิดบังหรือเปล่า คุณติดเชื้อ HIV ใช่ไหม" แล้วแฟนก็ตอบกลับว่า "ใช่" ณ ห้วงเวลานั้น นายเอบอกว่าทั้งชีวิตมืดสนิท จิตใจห่อเหี่ยว เคว้งคว้างไปหมด เพราะเซ้นส์ที่เคยสงสัยมันตอกย้ำว่าใช่ แต่ก็เรียกสติกลับมา ไม่โกรธ หรือเกลียด กลับรู้สึกอยากดูแลแฟนให้ดีที่สุด เพื่อจะได้อยู่ด้วยกันไปได้นานๆ และจับมือแฟน สบตากันแล้วบอกว่า “ไม่เป็นไรน่ะ สู้ด้วยกันต่อไป”

ด้านนายบีบอกเหตุผลว่า ก่อนคบกัน หยุดกินยาต้านเชื้อ HIV เนื่องจากไม่อยากให้นายเอรู้ และจำเป็นต้องปิดบังเพราะไม่อยากให้นายเอเสียใจ แต่พออาการทางกายออก เป็นงูสวัด ซึ่งอาการหนักและแย่มาก นอนระบมทั้งตัว ปวดลึกถึงกระดูก จึงตัดสินใจบอกความจริงเพราะไม่อยากให้นายเอเป็นห่วง และจะได้ตัดใจ โดยบอกว่า “จะอยู่ต่อ หรือเลิกรากันก็ได้นะ เพราะสักวันหนึ่งความลับนี้ก็ต้องรู้” พร้อมยืนยันชัดเจนว่านายเอไม่ติดเชื้อ HIV แน่นอน เพราะป้องกันอย่างดี

...

“รักแท้” แต่ป้องกันได้ ขอ “สด” ก็ปฏิเสธ

แม้นายเอจะตกใจกับความจริงทั้งหมด แต่ก็ตัดสินใจจับมือและเดินเคียงข้างต่อสู้กับเชื้อร้ายไปด้วยกัน โดยยึดหลักอยู่กับปัจจุบัน ที่ทั้งคู่คือ “ความสุขของกันและกัน” แต่ในใจลึกๆ ก็รู้สึกกังวลว่าจะติดเชื้อ HIV ไปด้วย ทั้งๆ ที่แฟนยืนยันและมั่นใจว่านายเอ "ไม่ติดเชื้อ HIV" แน่นอน เพราะไม่ได้ร่วมเพศโดยการสอดใส่บ่อยครั้ง และใส่ถุงยางอนามัยด้วย ถึงแม้นายเอเคยขอสด (ไม่ใส่ถุงยางอนามัย) เพราะมองว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องป้องกัน แต่นายบีก็บ่ายเบี่ยง และไม่ยอมทุกครั้ง 

หรือแม้กระทั่งเรื่องอื่นๆ ก็ตามที่มีความเสี่ยง นายบีก็ไม่ยอมทำเด็ดขาด อีกทั้งเมื่อไปหาหมอตามนัดเพื่อรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวตามที่หลอกไว้ ก็จะปรึกษาหมอทุกครั้งถึงวิธีป้องกันไม่ให้นายเอติดเชื้อ HIV โดยหลังจากที่นายเอฟังแฟนอธิบายเหตุผลก็เข้าใจถึงเจตนาดี ไม่รังเกียจ หรือโกรธแม้แต่น้อยที่ถูกหลอกมานาน 2 ปี แต่เพื่อความสบายใจ นายเอจึงบอกแฟนว่า “ป่ะ เราไป รพ. กัน พาผมไปตรวจว่าติดเชื้อ HIV ไหม”

...

ดั่งถูกประหาร สุดทรมาน กับเวลาหนึ่งชั่วโมง รอผลตรวจเลือด

แล้วคืนนั้นทั้งสองก็พากันไป รพ. นายเอบอกว่าอารมณ์ขับรถแทบไม่มีสติเลย กังวล กลัว แต่ก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้ คิดถึงแม่ ครอบครัว และภาระต่างๆ ที่รับผิดชอบไว้ มาถึง รพ. ตอนสี่ทุ่ม แฟนจับมือและปลอบว่า “ไม่เป็นไรนะ ถึงเป็น ก็กินยาได้ และไม่ทอดทิ้งแน่นอน”

กับเวลา 1 ชั่วโมง ที่รอผลตรวจเลือด นายเอนั่งไม่ติด กระวนกระวายเหมือนคนบ้า วิ่งไปจับมือพยาบาลหลายคน เครียดและร้องไห้ แต่ไม่โวยวาย รู้สึกทรมานจริงๆ กับเวลารอไม่ถึงชั่วโมง จนกระทั่งเวลาเที่ยงคืนครึ่ง คุณหมอเรียกไปฟังผล ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกำลังจะถูกประหารชีวิต

หมอเปิดซองจดหมายและบอกว่า “เนกาทีฟค่ะ” นายเอน้ำตาไหลพรากด้วยความดีใจและโล่งใจ นั่งลงคุกเข่า และก้มกราบคุณหมอ พรั่งพรูความอัดอั้นใจ “หมอรู้ไหม ผมมีภาระ กำลังจะมีอนาคตที่ดี แม่ผมยังมี” แล้วคุณหมอก็กอดปลอบใจพร้อมบอกว่า “คุณโชคดีมากนะ” จากนั้นก็รีบออกมาเจอแฟน แล้วโผเข้ากอด ต่างฝ่ายต่างน้ำตาคลอด้วยความดีใจ และจับหัวแฟนอย่างอ่อนโยนมาซบหน้าอก พร้อมเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรนะ เราเนกาทีฟ เราจะสู้ต่อไปด้วยกันนะ”

เล่าเรื่องราวมาถึงจุดนี้ นายบี ผู้เป็นแฟน ยื่นแขนจับมือคนรัก และกล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใยว่า “ตอนเห็นอาการเขาช่วงรอผลเลือด รู้สึกสงสารมาก แต่ผมเชื่อมั่นว่าเขาไม่เป็นแน่นอน เพราะทุกส่ิงทุกอย่างผมเซฟตี้หมด รู้ผลแล้วรู้สึกดีใจ เพราะเขายังมีอนาคตที่ไกลมาก หน้าที่การงานก็ดี ไม่อยากให้เขารู้สึกต่ำตม รู้สึกชีวิตไม่มีค่าเหมือนผมเคยรู้สึก ก่อนที่จะมาคบกัน” และเผยกับทีมข่าวถึงเหตุที่รักนายเออย่างสุดหัวใจว่า เพราะเป็นผู้นำที่ดี เข้าใจ ใส่ใจ ความคิดดี มีเหตุผล ขยันหมั่นเพียร ใฝ่ดี และรักครอบครัวมาก

ส่วนนายเอเมื่อได้ยินก็ยิ้มอย่างมีความสุข และให้ทรรศนะเสริมว่า ผมมองเรื่องแฟนติดเชื้อ HIV เป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเลย เมื่อเทียบกับความดีที่เขาทำให้ ย้อนกลับไปอดีต 2 ปีที่เราใช้ชีวิตร่วมกัน แฟนเขาเซฟผมมาตลอด แม้กระทั่งเรื่องช้อนกลาง ซึ่งจริงๆ ไม่ทำให้ติดเชื้อหรอก เหตุที่ผมกลัว เพราะมันฝังอยู่ในหัวว่ากะเทย 10 คนก็ติดเชื้อ HIV หรือเป็นเอดส์กันหมด จึงกลัวมาก”

ลั่นวาจามั่น จะไม่ปล่อยมือกัน ร่วมสู้ ฝ่าฟัน สร้าง “อนาคต” และคำว่า “เรา” ต่อไป

เมื่อกลับถึงบ้าน นายเอปรับทัศนคติใหม่ในการใช้ชีวิตคู่ รวมถึงอัตราความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น เพื่อส่งเสริมสุขภาพแฟนทั้งด้านร่างกายและจิตใจ และยืนยันอย่างชัดถ้อยชัดคำถึง "รักแท้" ที่มีต่อแฟน แม้รู้ว่าเป็นผู้ติดเชื้อ HIV ว่า จะมั่นคงและไม่ปล่อยมือจากกันแน่นอน

“ผมรักแฟน และรักมาก เขาอาจเคยทำผิดพลาด หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในอดีต แต่มันเป็นเรื่องของอดีตที่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ ผมเลือกที่จะอยู่กับปัจจุบัน ที่ผมรักเขา เขารักผม และเราก็รักกัน

ผมมีความสุขดี แม้ตอนนี้มีหลายคนขอมาใช้ชีวิตกับผม แต่ผมบอกได้คำเดียวว่า ผมไม่สามารถรักใครได้ เพราะแฟนคนนี้คือทุกสิ่งทุกอย่างของผม เขารักแม่ผม รักพี่น้องผม เขาเป็นคนดี จิตใจดี มองโลกในแง่ดี เขาเป็นคนที่ทำบ้าน ทำครอบครัวให้เย็น ความเย็น ความร่มใจที่ทำให้ผมรู้สึกว่า พอเลิกงานแล้วอยากกลับบ้านมาหาเมีย

ผมมีความสุขทุกครั้ง ทุกเวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆ เขา และเราจะร่วมต่อสู้และเผชิญสิ่งต่างๆ ในอนาคตด้วยกันอย่างมั่นใจว่า เราจะไม่ปล่อยมือกันแน่นอน นายเอพูดย้ำความรู้สึก โดยแฟนนั่งฟังและน้ำตาคลอด้วยความซึ้งใจ พร้อมกันนี้นายเอได้ฝากข้อคิดทิ้งท้ายให้กับชาวรักร่วมเพศที่อาจกำลังเจอปัญหาเดียวกัน

ใช้สัญลักษณ์แปะกับของใช้ ป้องกันการเผลอใช้ร่วมกัน
ใช้สัญลักษณ์แปะกับของใช้ ป้องกันการเผลอใช้ร่วมกัน

“แฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ เชื่อไหมว่า ไม่มีวิธีใดรักษาโรคให้หาย หรือทุเลาลงได้ หากใจไม่แข็งแรง วันนี้ผมกับแฟนสามารถพิสูจน์ได้ว่าใจที่แข็งแรงสามารถสู้ต่อโรคต่างๆ ได้ ตอนนี้คุณภาพชีวิตด้านร่างกายของแฟนดีขึ้นมากๆ กลับมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไปแล้ว ขอขอบพระคุณแฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ทุกท่านที่เสียสละเวลาอ่านเรื่องราวของเรา ผมอยากแชร์ไว้เป็นวิทยาทานทางด้านกำลังใจว่า ผู้ติดเชื้อ HIV ก็มีสิทธิ์รักใครก็ได้ และก็มีหัวใจในความรักที่สมหวังดังเช่นคู่ชีวิตผม ขอบคุณอีกครั้งครับ”

การได้รับกำลังใจจากคนรักนั้นก็เป็นสิ่งดีที่สุด เปรียบเสมือน “ยาใจ” สำคัญ และพิสูจน์ได้ว่า “ใจที่แข็งแรง สามารถต่อสู้โรคร้ายได้” ทีมข่าวขอยกย่องในหัวใจอันแข็งแกร่งของทั้งสอง ที่ถึงแม้จะมีอุปสรรคครั้งใหญ่ของชีวิต แต่พวกเขาพร้อมต่อสู้ฝ่าฟันไปด้วยกัน เพราะคำว่า "รักแท้” 

สำหรับการดูแลและใช้ชีวิตร่วมกับคนรักที่ติดเชื้อ HIV ต้องเตรียมตัว และมีวิธีการป้องกันการติดเชื้ออย่างไร รวมทั้งเทคนิคการครองรักครองเรือนให้มีความสุข นำมาซึ่งรักแท้ในคู่เกย์ที่มักเกิดขึ้นได้ยากนั้น มีเสน่ห์มัดใจอะไร โปรดติดตามต่อตอนต่อไป.

ข่าวเกี่ยวข้อง