นพรัตน์ใส่ชื่อลูก ครอบครองแทน โยงคดี ‘เงินทอน’
ปปง.สนธิกำลัง ป.ป.ป. นำหมายศาลตรวจค้นอายัดบ้านหรู 49 ล้านบาท ย่านราชพฤกษ์ ของ “นพรัตน์ เบญจวัฒนานนท์” อดีต ผอ.พศ. พันทุจริตเงินทอนวัดลอตแรกตามมติของคณะกรรมการธุรกรรม ปปง. พบตู้เซฟ 3 ตู้ ภายในมีหลักฐานโยงคดี เอกสารยืนยันความเป็นเจ้าของบ้าน และทรัพย์สินมีค่าหลายรายการ แฉใช้ชื่อลูกสาวเป็นผู้ครอบครอง ขณะที่ ป.ป.ป.จ่อส่งผู้ต้องหา 19 คน คดีทุจริตเงินทอนวัดลอต 2 ให้ ปปง.เชือดอีก
กรณีสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) โดยมติของคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 19/2560 ให้อายัดทรัพย์ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานนท์ อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) พร้อมพวกรวม 9 คน รวมมูลค่าเกือบ 72 ล้านบาท หลังกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ป.ป.ป.) ลุยตรวจสอบคดีทุจริตเงินทอนวัด ลอตแรกเป็นการทุจริตงบอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด 12 วัด ความเสียหายกว่า 60 ล้านบาท มีผู้ต้องหา 10 คน ที่เหลืออีก 1 คน อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานเอาผิด ส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลพบความผิดและส่งเรื่องให้ ปปง.อายัดทรัพย์ ส่วนคดีทุจริตเงินทอนวัดลอต 2 อยู่ระหว่างดำเนินการ
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 11 ต.ค. พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ วีริยาสรร รรท.เลขาธิการ ปปง. พ.ต.อ.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ รอง ผบก.ป.ป.ป. พร้อมกำลังนำหมายค้นศาลจังหวัดตลิ่งชัน เลขที่ 3.133/2560 ลงวันที่ 10 ต.ค. 60 เข้าตรวจค้นบ้าน 2 ชั้น เลขที่ 108/1 หมู่บ้านแกรนด์บางกอก บูเลอวาร์ด สาทร-ปิ่นเกล้า ถนนราชพฤกษ์ แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กทม.ของนางพัทธานันท์ เบญจวัฒนานันท์ ภรรยาจดทะเบียนสมรสของนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.พศ. หลังพบว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตเงินทอนวัด ใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมง
...
พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ วีริยาสรร รรท.เลขาธิการ ปปง.เผยว่า การประชุมของคณะกรรมการธุรกรรมมีมติให้อายัดบ้านหลังนี้ เพราะมีความเกี่ยวข้องกับนายนพรัตน์ ซื้อเมื่อปี 2556 ราคา 49 ล้านบาท การกระทำผิดของนายนพรัตน์กับพวกเกิดขึ้นเมื่อปี 2555-2559 ให้ลูกสาวเป็นผู้ถือครองแทน จากการตรวจสอบหลักฐานสอบพยานบุคคลยืนยันว่าเป็นบ้านของนายนพรัตน์ ในบ้านพบตู้เซฟ 3 ตู้ อยู่ระหว่างการตรวจสอบทรัพย์สินภายใน ผู้พักอาศัยเป็นญาติใกล้ชิดนายนพรัตน์ อย่างที่ทราบนายนพรัตน์และคนใกล้ชิดหลบหนีไปประเทศสหรัฐอเมริกากว่า 1 ปีแล้ว ได้เคลื่อนย้ายทรัพย์สินออกไปเหลือทรัพย์สินเพียงเล็กน้อย จะขยายผลตามอายัดทรัพย์สินต่อไป ทั้งนี้ ยังมีทรัพย์สินบางอย่างที่ต้องขยายผลอีกประมาณ 100-1,000 ล้านบาท
มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมา คนขับรถทราบชื่อเล่นว่ากาศ เป็นคนขับรถของนายนพรัตน์ ขับรถตู้มาที่บ้าน และมีรถกระบะอีก 1 คัน ขับตามมาน่าจะเป็นรถรับจ้าง เข้าขนกล่องกระดาษขึ้นรถกระบะเต็มคันขับออกไป คาดว่าในกล่องน่าจะเป็นเอกสารสำคัญ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเข้าตรวจค้น จากการตรวจสอบภายในตู้เซฟทั้ง 3 ตู้ แบ่งเป็นตู้เซฟเล็ก 2 ตู้ ตู้เซฟใหญ่ 1 ตู้ วางในห้องนอนใหญ่และห้องแต่งตัวของนายนพรัตน์พบเอกสารสำคัญเกี่ยวกับขั้นตอนโกงเงินทอนวัด พร้อมเอกสารยืนยันว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นของนายนพรัตน์ นอกจากนี้ ยังมีพระเครื่องและทรัพย์สินมีค่าอื่นๆอีกหลายรายการ เจ้าหน้าที่ได้อายัดหลักฐานทั้งหมดไว้ตรวจสอบเพื่อประกอบสำนวนแจ้งข้อหาเพิ่มเติม
ด้าน พ.ต.อ.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ รอง ผบก.ป.ป.ป.กล่าวว่า การตรวจค้นครั้งนี้สืบเนื่องจากคดีทุจริตเงินทอนวัดเป็นคดีในลอตแรก มีผู้ต้องหาทั้งหมด 9 คน ความผิดเกิดขึ้นระหว่างปี 2555-2559 ออกหมายเรียกให้มารายงานตัวแล้ว ครั้งที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 8-12 ต.ค.นี้หากไม่มาจะออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ให้มาพบภายในวันที่ 25 ต.ค.60 อีกครั้ง หากไม่มารายงานตัวจะออกหมายจับต่อไป ประกอบด้วย นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.พศ.หลบหนีไปต่างประเทศ นายวสวัสดิ์ กิตติธีระสิทธิ์ ผอ.ส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ พศ. นางประนอม คงพิกุล รอง ผอ.พศ. นางณัฐฐาวดี ตันตยาวิสาส นักวิชาการ พศ. นายศิวโรจน์ ปิยรัตน์เสรี (ไม่ใช่ข้าราชการ) นางชมพูนุช จันทร์ลือชัย นางอุบล ดิษฐ์ด้วง นายฐานพัฒน์ ม่วงทอง และพระสุทธิพงษ์ สุทธิวังโส เจ้าอาวาสวัดไทย-เดนมาร์ก
รอง ผบก.ป.ป.ป.เผยอีกว่า ขณะที่คดีทุจริตเงินทอนวัดลอต 2 บก.ป.ป.ป. ตรวจสอบการทุจริตงบอุดหนุน 3 ประเภท คือ 1.อุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด 2. อุดหนุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และ 3. อุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา-แผนกธรรม-แผนกบาลี จำนวน 23 วัด ตั้งแต่ปี 2555-2560 ความเสียหายประมาณ 141 ล้านบาท มีผู้ต้องหา 19 คน เป็นข้าราชการ 13 คน พระ 4 รูป และประชาชนไม่ใช่ข้าราชการอีก 2 คน มีนายพนม ศรศิลป์ อดีต ผอ.พศ. เป็นผู้ต้องหาคนสำคัญ สัปดาห์หน้า บก.ป.ป.ป.จะเข้ายื่นร้องทุกข์ ปปง. ดำเนินการต่อไป
ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน ในฐานะอดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวถึงกรณีมหาเถรสมาคม (มส.) มีมติใหม่ในปี 2560 ให้วัดดาวดึงษาราม ย่านบางยี่ขัน นำร่องจัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เสนอว่า ในปี 2561 จะให้ทุกวัด ทั่วประเทศจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายตามแบบใหม่เพื่อรายงานต่อ พศ.ทราบ ดูแล้วเหมือนจะดี เพราะการออกมตินี้มาแล้วจะมีผลให้มติเดิมของ มส.ที่ออกในปี 2558 เกี่ยวกับสั่งให้ทุกวัดทั่วประเทศต้องจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายของวัดแล้วส่งรายงานบัญชีดังกล่าวในช่วงปี 58-59 ให้สำนักงาน พศ.ทราบ ได้เคยแถลงว่ามีวัดต่างๆ ส่งรายงานบัญชีให้สำนักงาน พศ.ทราบแล้วประมาณ 90% คือ 30,000 กว่าวัด แต่พอตนไปตรวจสอบข้อมูลที่สำนักงาน พศ. ทราบว่าไม่มีการส่งรายงานบัญชีรายรับรายจ่ายมาให้จริง มีแต่การแจ้งยอดการทำบัญชีของวัดซึ่งตรวจสอบไม่ได้ เมื่อมีมติ มส.ปี 60 ออกมาใหม่นี้ จะเท่ากับว่าเป็นการยกเลิกมติเก่าในปี 58 ใช่หรือไม่
...