การลอบสังหาร นายคิม จอง นัม อายุ 45 ปี พี่ชายต่างมารดา ของ นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ทำให้เกิดเสียงเซ็งแซ่ดังกึกก้องทั้งโลกว่า ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง การลอบสังหารสะท้านโลกนี้
เบื้องหน้าเบื้องหลัง ของเรื่องทั้งหมดมันเกิดมาจาก มูลเหตุอะไรกันแน่?
แน่นอน ทันทีที่เกิดเรื่องขึ้น สื่อตะวันตกและสื่อนิยมตะวันตก ต่างชี้นิ้วเป็นเสียงเดียวกันทันทีว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการปลิดชีพ บุรุษที่เกือบได้เป็นเบอร์ 1 ของดินแดนโสมขาว คือ สายลับเกาหลีเหนือ ที่ได้รับคำสั่งจากท่านผู้นำ ด้วย story ที่ว่า เพื่อขจัดเสี้ยนตำใจ ที่อาจกลับกลายมาเป็น ขวากหนามสำคัญในการครองอำนาจต่อไป
แต่นั่นคือการฟังความข้างเดียวหรือไม่?
วันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะพาแฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ ไปฟังความอีกด้าน จากผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ของประเทศเกาหลี ผู้คลุกคลีตีโมงแดนกิมจิมาตั้งแต่ K-POP ยังไม่ครองโลก และครั้งหนึ่ง ยังเคยได้มีโอกาสได้ทำความรู้จักใกล้ชิด กับเจ้าหน้าที่ทางการทูตของดินแดนโสมแดงมาแล้ว นั่นก็คือ รองศาสตราจารย์ ดร. ดำรงค์ ฐานดี อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
...
“ส่วนตัว ผมไม่เชื่อว่า คิม จอง นัม ถูกลอบสังหารโดยสายลับเกาหลีเหนือ”
อ.ดำรงค์ ตอบคำถามที่แฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ คงอยากรู้เป็นลำดับแรกก่อน...เว้นระยะให้พอสนใจใคร่รู้ ผู้คร่ำหวอดแดนกิมจิ จึงได้เลกเชอร์ ประวัติของพี่ชายต่างมารดา ของผู้นำเกาหลีคนปัจจุบัน ให้ทีมข่าวฯ ฟังต่อไปว่า
คิม จอง นัม เป็นพี่น้องต่างมารดา ของ คิม จอง อึน ผู้นำคนปัจจุบัน ของประเทศเกาลีเหนือ แรกเริ่มเดิมที คิม จอง นัม ผู้นี้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ควรจะได้เป็นทายาททางการเมือง สืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดา คือ นายคิม จอง อิล อดีตผู้นำเกาหลีเหนือ แต่ด้วยความที่ มีนิสัยติดออกจะเพลย์บอย ไม่ค่อยจะมีภาวะผู้นำสักเท่าไร หนำซ้ำยังเคยสร้างวีรกรรม ที่แสดงออกถึงรสนิยมชื่นชอบลัทธิทุนนิยมของตะวันตก ที่ประมุขเกาหลีเหนือชิงชัง อย่างออกนอกหน้า โดยวีรกรรมที่สร้างความอับอายให้กับผู้เป็นพ่อมากที่สุดก็คือ การพาลูกๆ ไปเที่ยวสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ในประเทศญี่ปุ่น โดยการใช้พาสปอร์ตปลอม แค่นี้ก็ว่าแย่แล้ว แต่ที่แย่ไปกว่านั้น คือ ดันทำพลาดจนถูกเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นจับได้ จนกลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก
ทำให้ที่สุด ผู้เป็นบิดา จึงตัดสินใจส่งมอบตำแหน่งผู้นำสูงสุดของดินแดนโสมแดง ไปให้น้องชายต่างมารดา ที่ในเวลานั้น มีอายุเพียง 27 ปี แม้จะเป็นการขัดต่อธรรมเนียมปฏิบัติตามประเพณีของชาวเกาหลี ที่มักจะให้ลูกชายคนโตเป็นผู้สืบทอดมาตลอด อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
...แน่นอน ในช่วงแรกๆ ผู้พลาดหวังเช่น คิม จอง นัม ย่อมอาจต้องมีเกิดอาการตีโพยตีพายอยู่บ้าง ซึ่งก็คงเป็นเรื่องปกติ ทำให้สื่อตะวันตก รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวของตัวเองว่า คิม จอง นัม เกิดอาการไม่พอใจ และวิพากษ์วิจารณ์น้องชายต่างมารดา อย่างตรงไปตรงมาว่า “ยังเด็กเกินไป” ที่จะมาปกครองประเทศ
เอาล่ะ ตัดภาพมาสู่ปัจจุบัน ไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า นายคิม จอง นัม มีถิ่นพำนักอยู่ที่ประเทศใดกันแน่ เพราะมักจะเดินทางเข้าๆ ออกๆ ประเทศโน้น ประเทศนี้ อยู่เป็นประจำ แต่ที่มักพบตัวได้บ่อยๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ มาเก๊า หรือฮ่องกง ซึ่งเบื้องหลังนินทากันว่า เป็นสถานที่ฟอกเงินแหล่งใหญ่ของรัฐบาลเกาหลีเหนือ อีกทั้งเจ้าตัวก็โปรดปรานการเข้าไปเล่นการพนัน ตามกาสิโนใหญ่ๆ ที่นั่นด้วย
อย่างไรก็ดี ล่าสุด สื่อตะวันตกรายงานว่า ปัจจุบัน คิม จอง นัม มีภรรยา 2 คน คนแรกอยู่ที่กรุงปักกิ่ง มีลูกชายด้วยกัน 1 คน ส่วนภรรยาคนที่ 2 มีลูกด้วยกัน 2 คน เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง พำนักอยู่ที่มาเก๊า ท่ามกลางการอารักขาอย่างเข้มงวดของรัฐบาลจีน
...
เงื่อนปม ที่อาจนำไปสู่ การลอบสังหาร
อ.ดำรงค์ ทำหน้าครุ่นคิดสักครู่ ก่อนตอบคำถามนี้ว่า ส่วนตัวไม่เชื่อว่า เป็นฝีมือสายลับเกาหลีเหนือ อย่างเช่นที่สื่อตะวันตกประโคมข่าว ด้วยเหตุเพราะ คิม จอง นัม ไม่ได้มีท่าทีคุกคาม โดยการจะเข้าไปอิงตะวันตก เพื่อซ่องสุมกำลังกลับไปแย่งชิงอำนาจ เพื่อขวางทาง ผู้นำเกาหลีเหนือคนปัจจุบันเลยสักนิด
โดยเฉพาะหลังจากที่สื่อตะวันตกไปนำเสนอข่าว ทำนองว่า เจ้าตัวเกิดไปหลุดปากวิพากษ์วิจารณ์น้องชายแล้ว คิม จอง นัม ก็ยิ่งสงบปากสงบคำ ที่จะพูดอะไรถึงน้องชายอีก เรียกว่าทำตัว “โลว์โปรไฟล์” ไปเลย หนำซ้ำ เมื่อปี 2010 เจ้าตัวยังเคยให้สัมภาษณ์กับ Asahi Tv ของญี่ปุ่นด้วยซ้ำไปว่า ไม่ต้องการเป็นผู้สืบทอดอำนาจรุ่นที่ 3 ของตระกูล และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า น้องชายจะทำได้ดีในการนำพาเกาหลีเหนือ สู่ความเจริญรุ่งเรือง
ฉะนั้น จึงไม่น่ามีเหตุผลใดๆ ที่จะต้องลงทุนถึงขนาดส่งสายลับไปฆ่าปิดปาก เพียงเพราะเกรงกลัวพี่ชาย ที่ไร้น้ำยาทางการเมืองไปแล้ว เพราะหากจะทำจริงๆ ก็คงทำไปนานแล้ว เพราะสองพี่น้องนี้ ก็คงไม่ได้ชอบหน้ากันสักเท่าไรอยู่แล้ว
...
เชื่อฝีมือกลุ่มแก๊งสังหาร เหตุเพราะขัดผลประโยชน์ธุรกิจ
เมื่อประเมินแบบนี้แล้ว จึงเป็นไปได้หรือไม่ว่า...ในเมื่อ คิม จอง นัม ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า มีการทำหลากหลายธุรกิจ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจจะถูกลอบสังหารโดยกลุ่มแก๊งบางกลุ่ม โดยมีสาเหตุมาจากไปขัดผลประโยชน์กัน
หากสังเกตให้ดี ที่ผ่านมา คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ จะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด กับบุคคลที่เป็นภัยต่ออำนาจของตัวเองเท่านั้น เช่น กรณีของ นายจาง ซอง เต็ก ผู้อยู่ในฐานะลุงและอดีตผู้นำเบอร์สองของเกาหลีเหนือ ที่เวลาต่อมาเกิดไปขัดผลประโยชน์และมีท่าทีที่จะเป็นภัยต่อการครองอำนาจ คิม จอง อึน จึงสั่งลงมือสังหารทันที ในขณะที่บรรดากลุ่มผู้สนับสนุนของลุงทั้งหมด ก็มีชะตากรรมที่ไม่แตกต่างกันมากนัก และทั้งหมดที่ว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกาหลีเหนือ ไม่ได้เกิดขึ้นในต่างประเทศ เหมือนกรณี คิม จอง นัม อีกด้วย
ส่วนกระแสข่าวที่ว่า อาจเป็นฝีมือสายลับเกาหลีเหนือ นั้น ที่ผ่านมา สายลับเกาหลีเหนือที่ออกติดตามบรรดาผู้แปรพักตร์ในต่างประเทศนั้น ยังไม่มีหลักฐานปรากฏชัดว่า สายลับเหล่านั้น ลงมือสังหารผู้แปรพักตร์ในต่างแดน โดยส่วนใหญ่ที่พบ เป็นการไล่ล่าติดตาม เพื่อนำตัวผู้ทรยศ กลับมารับโทษที่เกาหลีเหนือมากกว่า
“ลองคิดง่ายๆ ดูสิ คิม จอง อึน จะส่งสายลับไปฆ่าคนของตัวเองในประเทศอื่น มันจะเกิดผลดี หรือผลเสีย ต่อเกาหลีเหนือ ...รัฐบาลของประเทศที่เกิดเหตุฆาตกรรมลักษณะนี้ จะรู้สึกอย่างไรกับ รัฐบาลเกาหลีเหนือ หรือ คิม จอง อึน เพราะความขัดแย้งภายใน มันก็ควรจะอยู่ในประเทศของคุณไม่ใช่หรือ จริงไหม?” ผู้เชี่ยวชาญแดนกิมจิ ให้ข้อสังเกตกับทีมข่าวฯ
...
ปั่นกระแสข่าว โทษเกาหลีเหนือ เชื่อหวังดิสเครดิต ตอกย้ำภาพ นิยมความรุนแรง
รองศาสตราจารย์ ดร. ดำรงค์ ให้ความเห็นต่อไปว่า ที่น่าเป็นข้อสังเกตอีกข้อ คือ เหตุการณ์ลอบสังหารครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจาก เกาหลีเหนือ แสดงอิทธิฤทธิ์ทดลองยิงขีปนาวุธ คุกคามญี่ปุ่น พันธมิตรสำคัญของสหรัฐอเมริกา ที่ท่านผู้นำโดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่งประกาศ หลังการพบปะกับ นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ด้วยเสียงดังฟังชัดว่า The United States of America พร้อมที่จะสนับสนุนญี่ปุ่นพันธมิตรผู้ยิ่งใหญ่ 100%
ฉะนั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่า เหตุลอบสังหารครั้งนี้ เป็นการลงมือของ ใครบางคน ที่มุ่งหวังดิสเครดิตเกาหลีเหนือ ให้ดูย่ำแย่ลงไปอีกในสายตาชาวโลก “เพื่อตอกย้ำภาพของประเทศที่นิยมความรุนแรง”
สื่อตะวันตก อริตัวเป้ง เกาหลีเหนือ ยากเสนอข่าวเป็นกลาง
ในช่วงท้ายของการสนทนา อ.ดำรงค์ ฝากถึงแฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ ว่า เบื้องต้น ข่าวสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ เกาหลีเหนือ โดยเฉพาะที่มาจากสื่อตะวันตก อยากให้เอา 2 หาร หรือเอา 100 หาร ไว้จะดีที่สุด เพราะไม่มีใครรู้จริงหรอก ทุกคนได้แต่คาดเดาไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะกับ สื่อตะวันตก ที่มักจะมอง เกาหลีเหนือ ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรมาโดยตลอด!
วิธีการที่ใช้ในการ ปลิดชีพ คิม จอง นัม
ได้รับการเปิดเผยจาก ตำรวจมาเลเซีย ว่า ฆาตกรสาวคนแรกได้ใช้ผ้าเช็ดหน้า คลุมเข้าที่ใบหน้าของเหยื่อนานประมาณ 10 วินาที หลังจากหญิงสาวอีกคนทำทีเป็นแกล้งฉีดสเปรย์บางอย่างเข้าใส่ หลังจากนั้น ผู้ตายได้เกิดอาการผิดปกติ และได้พยายามไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่สนามบิน แต่ในที่สุดก็เสียชีวิต ส่วนข้อมูลอื่นๆ โดยเฉพาะยาพิษ ที่ใช้ยังไม่มีการเปิดเผย แต่ล่าสุดสามารถจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยไว้ได้แล้ว
ย้อนประวัติศาสตร์ สารพัดวิธีลอบสังหาร
ใครจะเชื่อบ้างว่า มีมนุษย์ 1 คน ที่ถูกพยายามลอบสังหารมากถึง 634 ครั้ง! ย้ำอีกครั้ง ถูกพยายามลอบสังหารมากถึง 634 ครั้ง ตลอดชีวิต โดย สำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ หรือ CIA ตั้งแต่ช่วงระหว่างปี ค.ศ.1959 ถึง ค.ศ.2000 ผ่านประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาถึง 8 คน!
เขาผู้นั้น มีนามว่า ฟิเดล คาสโตร อดีตผู้นำคิวบา ที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปีที่ผ่านมา
โดยรัฐบาลคิวบา อ้างว่า สารพัดวิธีการพยายามลอบสังหาร คาสโตร นั้น มีตั้งแต่ ยัดยาพิษในซิการ์ ของโปรดของอดีตผู้นำคิวบา จ้างแก๊งมาเฟียไปลอบสังหาร ซุกซ่อนระเบิดไว้ในเปลือกหอยขนาดใหญ่ รวมถึง แอบเพาะเชื้อราลงไปในชุดว่ายน้ำ เพื่อหวังทำให้เกิดโรคเรื้อรังทางผิวหนัง หลังสืบทราบว่า เจ้าพ่อคิวบา ชื่นชอบการดำน้ำเป็นชีวิตจิตใจ นอกจากนี้ ก็ยังมีการจ้างวานอดีตคนรักของคาสโตร ล่อลวงให้เจ้าตัวดื่มเครื่องดื่มใส่ยาพิษ ก็ทำมาแล้ว
แต่วิธีการหนึ่งที่ CIA เคยพยายามทำ และน่าสนใจก็คือ การส่งคนไปพยายามใช้ปากกาชนิดพิเศษที่ออกแบบให้สามารถบรรจุยาพิษ ไปแอบฉีด ฟิเดล คาสโตร
สารพัดวิธีการลอบสังหารฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงกันข้าม ที่ฟังแล้วไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นได้จริง และหากสำเร็จ...ก็คงยาก...จะจับมือใครดมได้
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน