กรุงอัมสเตอร์ดัม เมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้รับการกล่าวขานมานานหลายปีแล้ว ในฐานะเป็น ‘เมืองหลวงของจักรยานโลก’ ที่สำคัญ​ ปัจจุบัน ก็ยังสามารถรักษาตำแหน่งนี้ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น เพราะทุกวันนี้ ผู้มาเยือนอัมสเตอร์ดัมสามารถเห็นคนปั่นจักรยานมากมายบนท้องถนนที่มีเลนจักรยานโดยเฉพาะ แถมทุกตรอกซอกซอย, บนถนนบนสะพาน, หน้าโรงเรียน, ธนาคาร, ร้านค้า, ร้านกาแฟ ฯลฯ ล้วนแต่เรียงรายไปด้วยรถจักรยาน ไม่นับรวมการมีอาคารจอดจักรยานอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

ทำไมการปั่นจักรยานจึงยังได้รับความนิยมในเนเธอร์แลนด์?

เป็นคำถามตัวโตๆ ที่สำนักข่าวบีบีซี สื่อยักษ์ใหญ่ในอังกฤษ ตั้งคำถามหาเหตุผลว่าทำไมประชาชนในเนเธอร์แลนด์จึงยังคง ‘รักการปั่น’ จักรยานกันอย่างสนุกสนานเช่นนี้? พร้อมทั้งยังระบุว่า ในประเทศเนเธอร์แลนด์ มีจำนวนรถจักรยานมากกว่าจำนวนประชากรในประเทศเสียอีก โดยเฉพาะเมืองใหญ่ อย่าง กรุงอัมสเตอร์ดัม เมืองหลวง และกรุงเฮก ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงของจังหวัดเซาท์ฮอลแลนด์ และเป็นเมืองหลวงในฐานะที่ตั้งของหน่วยงานราชการ ปรากฏว่า มีประชาชนใช้จักรยานเป็นพาหนะในการเดินทางถึงร้อยละ 70 เลยทีเดียว

...

ความเปลี่ยนแปลงในยุคทศวรรษ 70S

ก่อนชาวเนเธอร์แลนด์จะรักการปั่นจักรยานเป็นชีวิตจิตใจมาจนถึงทุกวันนี้ หากเราย้อนหลังกลับไปช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 การเดินทางในเนเธอร์แลนด์ ส่วนมากก็ใช้รถจักรยานกันอยู่แล้ว แต่พอมาถึงในช่วงทศวรรษ 1950-1960 ประชาชนในหลายประเทศทั่วยุโรปเริ่มเป็นเจ้าของรถยนต์มากขึ้น ขณะที่คนขี่รถจักรยานกลับถูกรถยนต์เบียดให้ไปอยู่บนไหล่ทาง แต่ปัญหาที่ตามมาจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนรถยนต์ ก็คือ กลับเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากขึ้น โดยในปี ค.ศ.1971 มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนกว่า 3,000 ราย และในจำนวนนี้เป็นเด็กถึง 450 ราย

จากตัวเลขผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่สูงมากอย่างน่าใจหาย ทำให้เกิดกระแสสังคม ชาวเนเธอร์แลนด์เริ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ทางการควรปรับปรุงและหามาตรการเพิ่มความปลอดภัยให้แก่คนขี่จักรยานมากขึ้น ขณะที่ วิค แลนเกนฮอฟฟ์ ผู้สื่อข่าวชาวเนเธอร์แลนด์ในยุคนั้น ซึ่งลูกของเขาก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนด้วยเช่นกัน ได้เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ โดยพาดหัวบทความว่า ‘จงหยุดฆ่าเด็ก’

ประกอบกับในช่วงนั้น ผู้เป็นเจ้าของรถยนต์ยังต้องประสบปัญหาจากวิกฤติน้ำมันในตะวันออกกลางปี ค.ศ. 1973 เมื่อประเทศส่งออกน้ำมันรายใหญ่ ได้ยุติการส่งน้ำมันให้แก่สหรัฐฯ และยุโรปตะวันตก และด้วยแรงกดดันจากทั้ง 2 เรื่อง ได้ส่งผลให้รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้หันมาปรับปรุงระบบการขี่จักรยานในประเทศอย่างเอาจริงเอาจัง

เส้นทางแห่งยุคทองของจักรยาน

การจะทำให้การขี่รถจักรยานมีความปลอดภัย ทำให้รัฐบาลดัตช์ ได้สร้างระบบเครือข่ายเส้นทางจักรยานในกรุงอัมสเตอร์ดัม รวมทั้งการติดตั้งป้าย, การปรับผิวเลนจักรยานให้ราบเรียบ, การแยกป้ายและสัญญาณไฟสำหรับรถจักรยานชัดเจนโดยเฉพาะ รวมถึงการขยายเลนจักรยานให้มีความกว้างเพียงพอ

นอกเหนือจากนี้ การขี่จักรยานในกรุงอัมสเตอร์ดัม คุณสามารถขี่จักรยานรอบเมือง โดยคนขับรถยนต์ต้องอดทนรอให้คุณขี่จักรยานผ่านไปอย่างใจเย็น โดยไอเดีย หรือความคิด ‘จักรยานคือสิ่งที่ถูกต้อง’ ถือเป็นแนวความคิดแปลกแหวกแนวของทางการเนเธอร์แลนด์ในขณะนั้น ที่จะชักชวนให้นักท่องเที่ยวขี่จักรยานชมเมือง

...

เบื้องหลังความสำเร็จของการเป็นเมืองจักรยาน

การสนับสนุนให้ชาวเนเธอร์แลนด์สามารถใช้จักรยานเป็นพาหนะกันอย่างสะดวก สบายนั้น สิ่งสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือ การมีที่จอดจักรยาน โดยสถานีรถไฟกลาง หรือ เซ็นทรัล สเตชั่น ในกรุงอัมสเตอร์ดัมนั้น ปรากฏว่า บริเวณชั้นใต้ดินของสถานีรถไฟมีที่สำหรับจอดรถจักรยานได้ มากมายนับ 10,000 คัน ขณะที่ เรายังเห็นที่จอดรถจักรยานมากมายทุกหัวระแหงในกรุงอัมสเตอร์ดัม ทั้งด้านนอกโรงเรียน ตึกอาคาร และร้านค้า ซึ่งถ้าคุณจอดจักรยานผิดที่ คุณจะโดนเจ้าหน้าที่ยกไปและต้องเสียเงิน 25 ยูโร เป็นค่าปรับ

การขี่จักรยานในเนเธอร์แลนด์ ถือเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดามากๆ เพราะหากเราลองถามคนในเนเธอร์แลนด์ว่า ‘พวกเขาเป็นนักปั่นจักรยานหรือเปล่า?’ ก็จะได้รับคำตอบว่า ‘พวกเขาไม่ใช่นักปั่น แต่เป็นแค่ชาวดัตช์เท่านั้น’

เหล่านี้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ กรุงอัมสเตอร์ดัม กลายเป็นเมืองหลวงของจักรยานโลก ไม่นับรวมลักษณะของผังเมือง ที่เต็มไปด้วยคูคลองมากมาย จึงทำให้การใช้รถจักรยาน เป็นเรื่องสะดวกสบายมากกว่าการขับรถยนต์ และยังคงทำให้ผู้คนในอัมสเตอร์ดัมรักการปั่น.. สนุกกับการปั่น อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้ชาวดัตช์ยิ่งมีวิถีชีวิตเรียบง่าย แถมยังมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงเป็นรางวัลอีกด้วย.

...