ผมเคยบริโภคประวัติของนักธุรกิจเมียนมาร์คนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า ไมเคิล โม มินต์ จากสื่อระดับโลกอย่าง The Wall Street Journal, International The News, abc News, The Business Times, Newsweek, Foreign Affairs, Forbes Asia, Financial Times, The European Times ฯลฯ

สื่อโลกสนใจไมเคิล โม มินต์ เพราะสถานทูตและหน่วยข่าวกรองอเมริกันในเมียนมาร์เคยทำรายงานลับกลับไปสหรัฐฯ ด้วยข้อความว่า ‘ไมเคิล โม มินต์ เป็นนักธุรกิจที่ประกอบธุรกิจถูกกฎหมาย ไขว่คว้าต่อสู้ ดิ้นรน จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จขั้นสูง ไมเคิล โม มินต์ ไม่อาศัยทางลัดด้วยการผูกสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลทหาร เป็นที่รู้ดีกันในหมู่ทหารและประชาชนคนเมียนมาร์ว่า ไมเคิล โม มินต์ จะไม่จ่ายเงินใต้โต๊ะ และไม่นำของกำนัลไปมอบให้นายทหารอย่างเด็ดขาด’

เรารู้เรื่องที่สถานทูตและหน่วยข่าวกรองอเมริกันรายงานลับกลับไปยังประเทศตัวเองจากเว็บไซต์วิกิลีกส์ เว็บไซต์วิกิลีกส์ทำให้เราทราบว่าอเมริกานั้นอันตราย ส่งคนมาสืบสวนหาข่าวและการรายงานการกระดิกพลิกตัวของบุคคลสำคัญของรัฐบาลและบรรดา มหาเศรษฐีจากประเทศต่างๆ กลับไปใส่แฟ้มไว้ในประเทศตัวเอง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการคบหาสมาคมกับผู้คนในประเทศนั้นๆ อ่านความลับของพวกอเมริกันในวิกิลีกส์ได้ทำให้เราเข้าใจได้ว่า ทำไมบุคคลที่มีชื่อเสียงและมีอำนาจในหลายประเทศจึงถูกปฏิเสธวีซ่าเข้าสหรัฐฯ อันนี้เป็นเพราะอาจจะเป็นการค้าขายยาเสพติด ละเมิดสิทธิมนุษยชน ค้าอาวุธ หรือมีพฤติกรรมอื่นที่สากลรังเกียจ ฯลฯ

สมัยที่อเมริกาแซงก์ชั่นเมียนมาร์ยาวนานหลายสิบปี ไมเคิล โม มินต์ และครอบครัวก็เคยถูกปฏิเสธวีซ่า เพราะอเมริกาเหมาเข่ง ว่าคนรวยเมียนมาร์ต้องมาจากยาเสพติด หรือจากการจ่ายใต้โต๊ะรัฐบาลทหาร

แต่หลังจากที่ส่งนักการข่าวกรองมาสืบสวนหาข่าวผู้คนระดับนำในเมียนมาร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า รัฐบาลอเมริกันก็ต้องรีบประเคนวีซ่าให้กับไมเคิล โม มินต์ และครอบครัว พร้อมทั้งรายงาน ข้อเท็จจริงของคนในครอบครัวนี้ต่ออย่างยืดยาว เช่น ตอนหนึ่งของข้อความคือ “ไมเคิล โม มินต์ เป็นผู้เสียภาษีรายใหญ่ที่สุดของพม่า เพราะเขาปฏิเสธอภิสิทธิ์การลดหย่อนภาษี ผิดกับนายเทย์ ซา มหาเศรษฐีอันดับหนึ่ง ซึ่งเป็นนักธุรกิจที่สนิทกับรัฐบาลทหาร และมีรายได้รวมแต่ละปีมากกว่าไมเคิล โม มินต์ ทว่าเสียภาษีน้อยกว่า เพราะบริษัทของเทย์ ซา ได้รับการลดหย่อนภาษี”

...

ความที่อ่านเรื่องราวของไมเคิล โม มินต์ มากมายหลายครั้งจากหลายสื่อหลายสำนัก ทำให้พ่อของผมอยากจะพบปะพูดจาสนทนากับท่านผู้นี้ตัวเป็นๆและแล้วความฝันก็เป็นความจริง เมื่อบ่ายวันพุธที่ 15 ตุลาคม 2557 ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิได้รับชวนจากท่านผู้ใหญ่ที่พ่อเคารพ ให้ไปที่บ้านพักของไมเคิล โม มินต์ และสนทนากันอยู่นานหลายชั่วโมง วันที่พบกันนั้น ไมเคิล โม มินต์ แต่งตัวสบายๆ นุ่งกางเกงขาสั้น ในตอนแรกก็ยังเกร็งกันไปเกร็งกันมา แต่เมื่อพูดจาถึงหนังสือ ก็เจอจุดร่วมเดียวกัน คือทั้งไมเคิล โม มินต์ และพ่อเป็นหนอนหนังสือทั้งคู่ ทั้งสองท่านจึงสนทนาและโต้ตอบด้วยภาษาของนักอ่านและนักสะสมหนังสือ เรื่องที่ตั้งใจจะคุยกัน ก็เป็นอันพับไว้ก่อน ไมเคิล โม มินต์ ไปค้นหนังสือเก่ามากๆ ระดับนานกว่า 500 ปี ที่ต้องขนไปซ่อมที่ฝรั่งเศส เอามาให้พ่อดู และการสนทนาส่วนใหญ่เป็นเรื่องหนังสือเก่า ผู้คนที่สนใจหนังสือเก่า และเรื่องราวทั้งหลายที่อยู่ในหนังสือเก่า

พ่อกลับมาเล่าให้พวกเราฟังว่า ไมเคิล โม มินต์ เป็นมหาเศรษฐีเจ้าของสัมปทานแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของเมียนมาร์นั้นน่าสนใจ หากแต่ที่น่าสนใจมากกว่าคือ การเป็นคนที่รักและสะสมหนังสือเก่า

พ่อสรุปว่า เมื่อพบปะสนทนากันแล้ว สิ่งที่น่าสนใจในตัวของไมเคิล โม มินต์ คือ ความมีจิตใจใสสะอาด ไม่จ่ายใต้โต๊ะ ไม่คอร์รัปชัน ไม่ประจบผู้นำทหารเหมือนเศรษฐีเมียนมาร์รายอื่น เป็นตัวของตัวเอง เป็นคนรักหนังสือ รักการอ่าน และมีความอยากให้คนเมียนมาร์พัฒนาตนเองจากการศึกษา

ไมเคิล โม มินต์ เคยส่งเสียเด็กเมียนมาร์คนหนึ่งเรียนจนจบชั้นปริญญาที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ เพียงเพราะความผูกพันจากการที่ครอบครัวนี้ทำธุรกิจเปิดร้านขายหนังสือเก่า และภายหลัง ไมเคิล โม มินต์ ก็รับซื้อธุรกิจร้านขายหนังสือเก่าแห่งนั้นมาดำเนินการ ซึ่งผู้อ่านท่านคงนึกออกนะครับ ว่าร้านหนังสือเก่านั้น ไม่ทำกำไร

เรื่องของไมเคิล โม มินต์ ยังมีต่อครับ.

คุณนิติ นวรัตน์