สัปดาห์ที่ผ่านมาเสียงระเบิดและเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้งใน “ฉนวนกาซา” หลังกองทัพอิสราเอลตัดสินใจออกปฏิบัติการทางทหาร ภายใต้ชื่อรหัส “พลัง ความกล้าและดาบแหลมคม”

ย้ำเตือนความทรงจำชาวโลกว่าความขัดแย้งสามารถปะทุได้ทุกเมื่อ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเงียบไปสักพักใหญ่เนื่องด้วย “ข้อตกลงหยุดยิง” ที่บังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 19 ม.ค.

โดยกรณีนี้ทีมข่าวต่างประเทศหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้รับโอกาสเข้าสอบถาม “ออร์นา ซากิฟ” เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ถึงที่มาที่ไปของการสู้รบรอบใหม่ และทิศทางสถานการณ์จากนี้

“ขอย้อนความทรงจำกันสักเล็กน้อยว่าการหยุดยิง 3 ระยะ (สามเฟส) ได้เสร็จสิ้นไป 1 ระยะ และอยู่ระหว่างกระบวนการเจรจาเพื่อเริ่มระยะที่ 2 โดยในช่วงเฟสแรกนั้น ก็ตามที่เราเห็นกันในข่าวว่า ทางกองกำลังติดอาวุธปาเลสไตน์กลุ่มฮามาส ได้ดำเนินการปล่อยตัวประกันมาทุกๆสัปดาห์ ซึ่งรวมถึงตัวประกันชาวไทย 5 คน เพื่อแลกกับอิสรภาพของนักโทษชาวปาเลสไตน์ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำอิสราเอล”

ลุยกาซารอบใหม่ ตัดโอกาสฟื้นตัว

...

จากข้อมูลคือทางกลุ่มฮามาสได้ปล่อยตัวประกันชาวอิสราเอลที่ยังมีชีวิต 25 คน ตามด้วยร่างไร้วิญญาณของตัวประกันอิสราเอล 8 คน ขณะที่ทางอิสราเอลปล่อยนักโทษชาวปาเลสไตน์ประมาณ 1,900 คน ตอนนี้ยังเหลือตัวประกันที่อยู่ในเงื้อมมือของกองกำลังติดอาวุธในฉนวนกาซา 59 คน (ทั้งมีชีวิตและเสียชีวิตแล้ว) ซึ่งเรื่องนี้ไม่อยากตอบเลยว่าตัวเลขที่ชัดเจนคือเท่าไร เพราะจะสร้างผลกระทบทางจิตใจแก่ครอบครัวที่รอคอยความหวัง เราต้องยืนยันให้แน่ชัด 100% ผ่านการประสานข่าวกรองกับหลักฐานทางการแพทย์

แค่กลุ่มฮามาสล้อเล่นกับอารมณ์ฝ่ายเดียวก็มากเกินพอ ขอยกตัวอย่างให้ฟังเรื่องของกลุ่มตัวประกันหญิงชาวอิสราเอล 5 คน ที่ถูกปล่อยตัวมาหลังการหยุดยิง ตอนนั้นพอตกลงกันได้ว่าจะปล่อยตัว นัดหมายวันเวลากันเรียบร้อย ทางกลุ่มฮามาสกลับมีการส่งคลิปวิดีโอแพร่กระจายไปทั่วว่าหญิง 5 คนนี้เสียชีวิตหมดแล้ว ทำให้ทางครอบครัวแทบสิ้นสติ ใจแตกสลาย
เราต้องเช็กข่าวกันวุ่น สถานการณ์ตึงเครียด แต่ต่อมาตัวประกันกลุ่มนี้ก็ได้รับการปล่อยตัว ซึ่งจากการสอบถามเรื่องราวทางกลุ่มเหยื่อได้เล่าให้ฟังว่า ถูกนักรบฮามาสบังคับให้แสดงบทบาท นอนคว่ำหน้าตามกองเศษอิฐเศษปูน ทั้งมีการถ่ายภาพโคลสอัปเอกลักษณ์บนร่างกายอย่างรอยสัก เพื่อให้ครอบครัวจำได้ว่าเป็นบุตรหลาน

ทูตอิสราเอลย้ำด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอีกครั้งว่า ตัวประกันที่ถูกจับไปในฉนวนกาซาถือเป็นเหยื่อที่ถูกพรากตัวไปจากบ้าน จากครอบครัว ในเหตุการณ์โจมตีอิสราเอลวันที่ 7 ต.ค.2566 ในขณะที่กลุ่มคนที่ทางอิสราเอลปล่อยตัวจากเรือนจำหลักพันคน ต่างก็เป็นนักโทษที่ถูกดำเนินคดีก่อการร้าย ก่อเหตุอาชญากรรมรุนแรง

ประเด็นต่อมา อยากขอความเข้าใจว่า อิสราเอลกำลังเจรจาและทำข้อตกลงกับกลุ่มคนที่ป่าวประกาศว่า “ต้องการฆ่าชาวยิว ต้องการทำลายอิสราเอล” อยู่ทุกชั่วโมงยาม ถามว่าอิสราเอลสังหารไปเยอะแล้ว ยังมีคนให้เจรจาอีกหรือ กลุ่มหัวรุนแรงพวกนี้มีเครือข่ายหนาแน่น มีคนที่พร้อมจะแสดงตัวขึ้นมาเป็นแกนนำ และที่ว่ากลุ่มฮามาสเป็นพรรคการเมือง มีสองเสาคือกลุ่มการเมืองกับกลุ่มความมั่นคง เรื่องนี้ไม่เห็นด้วย จะอย่างไรเขาคือพวกเดียวกัน เป็นกลุ่มก่อการร้ายตัวอันตรายของภูมิภาค

สำหรับข้อตกลงหยุดยิงในเดือน ม.ค. แม้จะเป็นโอกาสให้เราได้รับตัวประกันกลับคืนมา แต่ขณะเดียวกันข่าวกรองของอิสราเอลยืนยันว่าเป็นโอกาสของกลุ่มก่อการร้ายในการเกณฑ์ไพร่พล สะสมอาวุธยุทโธปกรณ์รอบใหม่ ด้วยเหตุนี้เมื่อการเจรจาปล่อยตัวประกันตามข้อตกลงหยุดยิงเฟสสอง ไม่มีความคืบหน้า ปฏิเสธข้อเสนอของตัวแทนรัฐบาลสหรัฐฯ เห็นได้ชัดว่าเป็นความพยายามซื้อเวลาไปเรื่อยๆ ทางกองทัพอิสราเอลจึงตัดสินใจใช้ปฏิบัติการทางทหาร เพื่อกำจัดภัยคุกคามให้สิ้นซาก

เมื่อถามเรื่องปฏิบัติการของกองทัพและการแก้โจทย์ยาก ทูตซากิฟอธิบายว่า ตอนนี้กองทัพโจมตีภาคกลางและภาคใต้ของฉนวนกาซา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพื้นที่ภาคเหนืออย่างเมืองเอก “กาซา ซิตี้” จะน่าไว้วางใจ มีรายงานต่อเนื่องว่าการที่กองทัพอิสราเอลถอนกำลังออกจาก “ตะเข็บรักษาความปลอดภัยเน็ตซาริม” (แบ่งกาซาเหนือ-ใต้ ระยะทาง 6 กิโลเมตร) ได้ส่งผลให้นักรบหัวรุนแรงเริ่มแทรกซึมกลับไปยังภาคเหนือ ซึ่งในปัจจุบันนี้ยังเต็มไปด้วยเครือข่ายอุโมงค์ใต้ดินที่ยังไม่สามารถเคลียร์ได้ทั้งหมด

ขอยืนยันว่าอิสราเอลจะไม่เข้าไปยึดครองฉนวนกาซา จะใช้วิธีจับตาอย่างใกล้ชิด เหมือนที่ทำในพื้นที่เวสต์แบงก์ กล่าวคือเมื่อพบหลักฐานว่ามีการเตรียมก่อการร้าย การซ่องสุมกำลัง
ก็จะส่งหน่วยรบเคลื่อนที่เร็วเข้าจัดการก่อนถอนกำลังออกมา จะได้ผลมากน้อยขนาดไหนต้องรอดูกันต่อไป แต่ก็เป็นสูตรที่อิสราเอลเคยใช้ในอดีต ฝ่ายการเมืองเดินหน้าเจรจา ฝ่ายความมั่นคงใช้มาตรการเด็ดขาด

อย่างในยุคสมัย PLO องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์เมื่อหลายทศวรรษก่อน ก็จงเกลียด จงชังกันอย่างหนัก จนมาวันหนึ่งตัดสินใจที่จะเปลี่ยนความคิด ถึงจะยังเกลียดกัน แต่ ไม่ได้อยากจะรบราฆ่าฟันแล้ว ขอต่างคนต่างอยู่ใกล้ๆกันอย่างสันติ ส่วนเรื่องไอเดียของประธานาธิบดีสหรัฐฯที่มีต่อฉนวนกาซา (อย่างเรื่องย้ายคน หรือกาซาริเวียรา) ทูตซากิฟยิ้มเล็กน้อย ก่อนตอบเพียงว่าถือเป็นไอเดียใหม่ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีในเมื่อวิธีต่างๆในอดีตมันใช้ไม่ได้ผล จะลองดูก็ไม่เสียหาย แต่ผลลัพธ์ต้องดูกันในระยะยาว.

...

วีรพจน์ อินทรพันธ์

คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม