กระบวนการเจรจาระดับโลกเพื่อหาทางคลี่คลายสถาน การณ์ความขัดแย้งใน “ยูเครน” ที่ดำเนินมากว่า 3 ปี กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา

หลังรัฐบาลสหรัฐฯแสดงวิถีของชาติ “ตะวันตก” ออกมาให้เห็นกันอย่างชัดเจน นั่นคือการเจรจาแบบ “ทุบโต๊ะ” กดดัน ประกาศรวบรัดว่า ยูเครนยอมรับแผนการสันติภาพของสหรัฐฯเป็นที่เรียบร้อย และสนับสนุนข้อเสนอให้มีการ “หยุดยิง” ในทันทีเป็นเวลาเบื้องต้น 30 วัน

อธิบายให้เห็นภาพง่ายๆคือ สหรัฐฯไปเจรจากับยูเครนสอง ต่อสอง ก่อนมาบอกกับฝ่ายรัสเซียว่า คุยเรียบร้อยแล้ว ยูเครน ไฟเขียวหยุดยิง รัสเซียเอาตามนี้ ตกลงหยุดยิงโอเคนะ

พร้อมตะโกนโห่ร้องให้ทุกคนรับรู้ว่า สงครามกว่า 3 ปีจะจบลงแล้ว เหลือแค่รัสเซียยอมตกลง แต่ถ้ารัสเซียไม่ยอมตกลง ก็หมายความว่ารัสเซียคือคนที่ขัดขวางสันติภาพ และหากชาติตะวันตกจะสนับสนุนให้ยูเครนทำสงครามต่อหลัง จากนี้ ก็ถือว่ามีความชอบธรรม เพราะเป็นผู้ผดุงสันติสุขของโลก

กำหนดเนื้อเรื่องเตรียมไว้เสร็จสรรพตามสไตล์ภาพยนตร์ฮอลลีวูด รัสเซียคือผู้ร้าย พันธมิตรตะวันตกคือคนดี อยากให้จดจำกันได้ว่า ยังมีเรื่องราวอีกมุมหนึ่ง ใครกันหรือที่ใช้องค์การนาโตรุกคืบประชิดพรมแดนรัสเซีย ผิดสัญญา “ไม่ก้าวล่วงแม้แต่คืบเดียว” ที่เคยลั่นวาจาไว้ตอนช่วงสิ้นสุดยุคสงครามเย็น

ใครกันหรือใช้ม็อบประชาชนเปลี่ยนรัฐบาลยูเครนไปเป็นสายต่อต้านรัสเซีย ใช้ข้อตกลงหยุดยิง “มินสก์” มาเป็นเครื่องมือถ่วงเวลาสะสมอาวุธ และใครกันหรือที่ไปกดปุ่มเบรกบีบให้ยูเครนยกเลิกการหย่าศึกกับรัสเซียในปี 2565 หลังสงครามเริ่มขึ้น
ได้ไม่นาน

แน่นอนเรื่องเหล่านี้ รัสเซียจำแต่ไม่ผูกใจเจ็บ เนื่องด้วยเป็นชนชาติที่ไม่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ และทำให้ “วลาดิเมียร์ ปูติน” ผู้นำรัสเซีย ออกมา “รับลูก” แล้วเรื่องข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน และใช้โวหารทางการทูตตั้ง ข้อเสนอกลับไปอย่างแยบคาย

...

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีปูตินกล่าวอย่างแรกว่า “ขอขอบคุณประธานาธิบดีสหรัฐฯ มิสเตอร์ทรัมป์ที่ให้ความสนใจอย่างมากกับการคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครน พร้อมขอขอบคุณผู้นำชาติอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย บราซิล แอฟริกาใต้ ที่สละเวลาอันมีค่ามาร่วมแก้ปัญหา เราขอขอบคุณทุกคน”

สำหรับประการต่อมา รัสเซียมีความเห็นชอบต่อข้อเสนอต่างๆเพื่อยุติความเป็นปรปักษ์ แต่จุดยืนของรัสเซียคือการหยุดยิงควรนำไปสู่สันติภาพในระยะยาว ควบคู่ไปกับการขจัดต้นตอของ วิกฤตการณ์ ตอนนี้เรามาดูกันในเรื่องความพร้อมของ “ยูเครน” ในการหย่าศึก หน้าฉากดูเหมือนว่ายูเครนตัดสินใจยอมหยุดยิงจากแรงกดดันของสหรัฐฯ แต่รัสเซียมองว่าในความเป็นจริงนั้น ยูเครนคือฝ่ายที่เรียกร้องสหรัฐฯให้ช่วยเหลือ เนื่องด้วยสถานการณ์ในสนามรบกำลังอยู่ในสภาพไม่สู้ดี

สายบัญชาการของกองทัพยูเครนในจังหวัดคูร์สก์ของรัสเซียไม่เหลือสภาพ ทหารยูเครนไม่สามารถล่าถอยออกจากพื้นที่ ต้องหลบหนีกันเป็นกลุ่มย่อยๆ เนื่อง จากกองทัพรัสเซียกำหนดพิกัดกระสุนตกไว้ทั้งหมด ซึ่งในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ก็จะยิ่งไม่มีทางหนี มีหนทางเหลืออยู่ 2 ประการคือตายกับยอมจำนน

ด้วยเหตุนี้การตกลงหยุดยิง 30 วัน ถือเป็นเงื่อนไขที่ดีสำหรับฝ่ายยูเครน ซึ่งรัสเซียก็เห็นพ้องเช่นกัน แต่ตรงจุดนี้เราควรมาดูกันอีกว่า กองกำลังที่รุกรานเข้ามาในจังหวัดคูร์สก์ของรัสเซียจะดำเนินการอย่างไร หากรัสเซียยอมหยุดสู้รบ 30 วัน จะส่งผลเช่นไร หน่วยรบของยูเครนในคูร์สก์จะสามารถเดินทางกลับบ้านได้หรือไม่ รัสเซียควรปล่อยไปหรือหลังจากพวกนี้เข้ามาก่ออาชญากรรมต่อพลเรือนรัสเซีย หรือกองทัพยูเครนจะสั่งให้หน่วยรบเหล่านี้ยอมจำนนกับรัสเซีย เงื่อนไขเหล่านี้ยังถือว่าไม่ชัดเจน

ลำดับต่อมา เราจะแก้ปัญหาเรื่อง “แนวรบ” เช่นไร เนื่องจากมีระยะทางยาวกว่า 2,000 กิโลเมตร และตอนนี้ทุกคนก็รู้ว่า หน่วยรบรัสเซียกำลังรุกคืบในทุกแนวรบ และโอบล้อมหน่วยรบต่างๆของยูเครน การหยุดยิง 30 วัน จะใช้เวลากันเช่นไร 30 วันนี้คือเวลาที่ยูเครนจะมีโอกาสไปเกณฑ์ทหารมาเพิ่ม หรือเป็นเวลาที่ยูเครนจะได้รับอาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่มเติม หรือเป็นเวลาที่จะใช้ฝึกฝนสร้างหน่วยรบใหม่ๆ

มีคำถามเกิดขึ้นมากมายในเรื่องการหยุดยิง ใครเป็นผู้ควบคุมดูแล จะบริหารจัดการกันเช่นไร และอะไรที่เป็นหลักประกันมารับรองว่า เหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก ใครจะเริ่มสั่งหยุดยิงก่อน ผลลัพธ์ที่จะตามมาจากการหยุดยิงคืออะไร คำถามเหล่านี้ควรเป็นสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายต้องมาลงรายละเอียดหวังว่าทุกคนจะใช้สามัญสำนึกทำความเข้าใจในเรื่องนี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่มีความซีเรียสทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้รัสเซียจึงมองว่า การหยุดยิงถือเป็นไอเดียที่ถูกต้อง และรัสเซียย่อมให้การสนับสนุน แต่ยังมีคำถามมากมายที่เราต้องคุยกัน รัสเซียจำเป็นต้องประสานกับหุ้นส่วนอเมริกันในเรื่องนี้ อาจหารือเรื่องนี้กับประธานาธิบดีทรัมป์ และรัสเซียสนับสนุนแนวความคิดเรื่องการจบสงครามด้วยสันติวิธี

กล่าวได้ว่า..รัสเซียปฏิเสธการถูกตะวันตกรวบรัดตัดตอน แต่ยัง “ไว้ไมตรี” เปิดช่องให้สหรัฐฯ–รัสเซียมาลงรายละเอียดร่วมกันว่าจะสร้างสันติภาพกันเช่นไร ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ให้ความเห็นทันทีหลังแถลงฉบับนี้ว่า “อยากนัดพบหรือพูดคุยกับผู้นำรัสเซีย” ซึ่งท่าทีเช่นนี้คงไม่ผิดนักที่จะมองว่า ในที่สุดการเจรจาหย่าศึกยูเครนก็ได้ฤกษ์ออกตัวจาก “จุดสตาร์ต” อย่างเป็นทางการเสียที!?


วีรพจน์ อินทรพันธ์

คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม