ผมชอบความคิด “ผู้นำสิงคโปร์” ที่มักมองโลกได้ลึกกว่าผู้นำประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ เช่น สงครามการค้าโลกที่กำลังร้อนระอุ จากการขึ้นภาษีของ ประธานาธิบดีทรัมป์  ทำให้ผู้นำทั่วโลกต่างวิตกกังวล หลายคนบินไปสยบถึงทำเนียบขาว แต่ก็ไม่ได้ผล ล่าสุด ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม 25% จากทุกประเทศ มีผลตั้งแต่ 12 มีนาคมเป็นต้นไป  ไทยก็ได้รับผลกระทบ ประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักคือ ออสเตรเลีย สหภาพยุโรป เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ล้วนเป็นพันธมิตรใกล้ชิดสหรัฐฯทั้งสิ้น แต่ทรัมป์ก็ไม่มีไมตรีกับใคร ประเทศไทยเตรียมตัวล่วงหน้าได้เลย โดนภาษีนำเข้าอีกรอบแน่นอน

สภาหอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ สมาคมธนาคารไทย ได้เรียกร้อง นายกฯแพทองธาร ชินวัตร หลายครั้ง ให้เร่งจัดตั้ง “คณะกรรมการเจรจาร่วมภาครัฐและเอกชน”  รับมือกับสหรัฐฯ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากรัฐบาล เป็นเพราะ ไม่รู้เรื่องหรือไม่เข้าใจ ก็ไม่ทราบ

สิงคโปร์ ประเทศเล็กๆทางใต้ของไทย แต่เจริญติดอันดับต้นๆของโลก ทั้ง “สติปัญญา” และ “ความรู้ความสามารถ” ของ “ผู้นำประเทศ”   นักธุรกิจและประชาชนที่ได้รับการศึกษามาอย่างดีเยี่ยม ได้แสดงความคิดเห็นที่น่าสนใจ  คนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อมาตรการภาษีของทรัมป์ ไม่ใช่ ลอว์เรนซ์ หว่อง นายกฯสิงคโปร์ ที่ติดดิน นั่งสายการบินโลว์คอสต์ไปประชุมต่างประเทศได้ แต่เป็น Gan Kim Yong รองนายกฯ สิงคโปร์ เขากล่าวว่า หลายประเทศในเอเชียได้เฝ้าดูอย่างวิตกกังวล  เกี่ยวกับการขึ้นภาษีสินค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ แต่เขายังมองเห็น “สัญญาณแห่งโอกาสการเติบโตของเอเชีย”  ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าทั่วโลก ระดับรองนายกฯสิงคโปร์ยังมองไกลขนาดนี้

...

เขากล่าวว่า  มีเหตุผลที่ดี ที่ยังคงมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับเอเชีย

รองนายกฯสิงคโปร์  ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจเอเชียคาดว่าจะขยายตัวจาก 50% ของจีดีพีโลกในปัจจุบัน เป็น 60% ของจีดีพีโลกในปี 2573 ในขณะที่ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ซึ่งเป็นที่ตั้งของสิงคโปร์ (และไทยแลนด์) คาดว่าจะกลายเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่อันดับ 4 ของโลกภายในปี 2573 ดังนั้น เอเชียจึงต้องถูกวางตำแหน่งให้เป็น “พื้นที่การค้าที่ยึดหลักการเปิดกว้าง ผสานรวม และเต็มไปด้วยนวัตกรรม”

เขากล่าวอีกว่า “ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน ASEAN Trade in Goods Agreement (ATIGA)” 6 ประเทศจาก 10 ประเทศอาเซียน ซึ่งใช้บังคับมาตั้งแต่ปี 2553 โดย ยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าเกือบ 99% ของรายการภาษี กำลังอยู่ในกระบวนการปรับปรุงเพื่อลดอุปสรรคการค้า นำกระบวนการค้าที่ยั่งยืนมาปรับใช้ เพื่อตอบสนองต่อแง่มุมใหม่ๆของการค้า เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว รวมถึง ความยืดหยุ่นของห่วงโซอุปทาน สิ่งเหล่านี้  ไม่เพียงจะช่วยเพิ่มการค้าภายในอาเซียนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ธุรกิจสร้างห่วงโซ่อุปทานแข็งแกร่งขึ้นมาภายในอาเซียน เพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบจากภายนอกและมาตรการคุ้มครอง

เห็นวิสัยทัศน์และวิธีคิดของ Gan Kim Yong รองนายกฯสิงคโปร์ ในการต่อกรกับมาตรการขึ้นภาษีของทรัมป์แล้ว หันกลับมาดูรัฐมนตรีไทยในรัฐบาลเพื่อไทยบ้าง  อ่านข่าวแล้วก็ได้แต่เศร้าใจ ข้าวไทยราคาตก ขายสู้ประเทศอื่นไม่ได้ รัฐมนตรีพาณิชย์แนะนำให้ไปปลูกกล้วยแทน แนะนำให้คนไทยกินข้าวเพิ่ม เพื่อช่วยให้ราคาข้าวแพงขึ้น ชาวนาจะได้มีรายได้เพิ่มขึ้น  ไม่รู้ใช้อะไรคิด ไม่ต่างจากรัฐบาลเพื่อไทยที่กำลังจะแจกเงินหมื่นบาทให้วัยรุ่น 16-20 ปี 2.7 ล้านคน แล้วฝันหวานว่าจะเกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจ

ทั้งที่รัฐมนตรีเพื่อไทยเคยวิจารณ์ “ความคิดแจกเงินแล้วเชื่อว่าเศรษฐกิจจะฟื้น เหมือนให้กินยาแก้ปวดแล้วคิดว่าจะรักษาโรคมะเร็งได้” แต่รัฐบาลเพื่อไทยก็แจกแล้วถึง 2 ครั้ง

สิ่งที่รัฐบาลต้องทำแต่ไม่ทำ “เร่งฟื้นเศรษฐกิจในประเทศให้เข้มแข็ง” เพื่อรับมือกับสงครามการค้า แต่รัฐบาลกลับทำให้คนไทยอ่อนแอ รอรับเงินแจกยังชีพไปวันๆ  เมื่อ รัฐบาลอ่อนแอ ประชาชนอ่อนแอ ก็ได้แต่รอ “วันลูกโป่งแตก” เท่านั้น อนาคตประเทศไทย.

“ลม เปลี่ยนทิศ”

คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม