• โรดริโก ดูเตร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ถูกจับกุมตัวตามหมายจับของ ICC และถูกส่งตัวไปกรุงเฮกเพื่อดำเนินคดีในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

  • ดูเตร์เตถูกตั้งข้อหาจากกรณีการเสียชีวิตมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างการทำสงครามต่อต้านยาเสพติดของเขา ซึ่งประเมินกันว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 30,000 คนภายในระยะเวลา 6 ปี

  • สงครามยาเสพติดของดูเตร์เตสร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก มีเด็กถูกสังหารหรือโดนลูกหลงเสียชีวิตไปนับร้อยศพ นอกจากนั้นยังพบหลักฐานของการทรมานและความพยายามปกปิดการกระทำผิดด้วย

โรดริโก ดูเตร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ผู้เป็นที่ต้องการตัวของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ถูกนำตัวขึ้นเครื่องบินมุ่งหน้าไปยังกรุงเฮก ซึ่งเป็นที่ตั้งศาลดังกล่าวแล้ว หลังถูกจับกุมตัวคาสนามบินในกรุงมะนิลา

ตามหมายจับของ ICC ที่สำนักข่าวรอยเตอร์สได้เห็นมา ดูเตร์เตถูกกล่าวหาว่าต้องรับผิดชอบต่อการฆาตกรรมผู้คนอย่างน้อย 43 ศพระหว่างปี 2554-2562 ในการทำสงครามยาเสพติดของเขาทั้งสมัยเป็นนายกเทศมนตรีเมืองดาเวา และเป็นประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ (2559-2565)

เกิดอะไรขึ้นในการทำสงครามยาเสพติดของดูเตร์เต จนทำให้เขาถูก ICC ออกหมายจับ และถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

แคมเปญเพื่อสังหาร

โรดริโก ดูเตร์เต เป็นนายกเทศมนตรีเมืองดาเวา ทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์มาอย่างยาวนาน และมีฉายาซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า “ผู้สำเร็จโทษ” เนื่องจากเขานิยมใช้มาตรการแข็งกร้าว และเขาใช้สิ่งนี้กับขู่สังหารแก๊งค้ายาเสพติดจนประสบความสำเร็จในการหาเสียง และได้เป็นประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ในปี 2559

หนึ่งในคำพูดระหว่างการหาเสียงของดูเตร์เตที่ยังถูกจดจำได้ดีคือ “ลืมกฎหมายและสิทธิมนุษยชนไปซะ ถ้าผมได้เข้าทำเนียบประธานาธิบดี ผมจะทำแบบเดียวกับตอนที่ผมเป็นนายกเทศมนตรี เจ้าพวกที่วันๆ ไม่ทำอะไร ทำแต่ปล้นชิง ค้ายาเสพติด รีบหนีเสียดีกว่า เพราะผมจะฆ่าพวกคุณ”

ดูเตร์เตอ้างว่า แคมเปญของเขาทำให้ประชาชนในเมืองดาเวาปลอดภัยจากอาชญากรรม และย้ำกับนักข่าวรอยเตอร์สด้วยว่าเขาตั้งใจที่จะปราบปรามด้วยความรุนแรง “ผมพูดว่า มาฆ่าอาชญากรวันละ 5 คนกันเถอะ พวกมันจะได้ถูกกำจัดไปจนหมด”

...

นายดูเตร์เตถูกนำตัวขึ้นเครื่องบินมุ่งหน้าไปยังกรุงเฮก ของเนเธอร์แลนด์แล้ว ในคืนวันอังคารที่ 11 มี.ค. 2568
นายดูเตร์เตถูกนำตัวขึ้นเครื่องบินมุ่งหน้าไปยังกรุงเฮก ของเนเธอร์แลนด์แล้ว ในคืนวันอังคารที่ 11 มี.ค. 2568

ปราบปรามทั่วประเทศ

การทำสงครามกับยาเสพติดของดูเตร์เตขยายตัวไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว โดยภายในสิ้นปี 2559 จำนวนผู้เสียชีวิตก็พุ่งทะยานเป็นสถิติใหม่ ตำรวจสังหารผู้ต้องสงสัยมากกว่า 2,000 คนในเวลาไม่กี่เดือนหลังดูเตร์เตสาบานตนรับตำแหน่งเมื่อ 30 มิ.ย. จนถึงสิ้นปี 2559 และการเสียชีวิตเกือบทั้งหมดถูกระบุว่าเป็นการยิงต่อสู้กัน

เพื่อกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่กล้าดำเนินการปราบปรามอย่างที่เขาต้องการมากขึ้น ดูเตร์เตออกคำสั่งให้ทหารและตำรวจได้รับความคุ้มครองจากการดำเนินคดีสำหรับการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา

ในช่วงไม่กี่เดือนแรกในตำแหน่งของดูเตร์เต เหยื่อการปราบปรามของเขามากมายถูกพบในสภาพถูกพันธนาการ ศพถูกทิ้งไว้ตามคลองเน่าเสีย, จุดทิ้งขยะ หรือตามทุ่งหญ้า นอกจากนั้นยังมีกลุ่มมือปืนไม่ทราบฝ่าย ออกมาเข่นฆ่าผู้ต้องสงสัยค้ายาเสพติดไปจำนวนมาก โดยมือปืนปริศนาเหล่านี้ บางคนถูกพบภายหลังว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ

แต่เหตุนองเลือดที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้คะแนนนิยมของดูเตร์เตลดลงเลย เห็นได้จากโพลสำรวจความคิดเห็นขององค์กรวิจัย Social Weather Stations ที่จัดทำขึ้นในเดือนธันวาคม 2559 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ชาวฟิลิปปินส์ 77% พึงพอใจกับการทำงานของประธานาธิบดีของพวกเขา

เสียชีวิต 30,000 ศพ

เมื่อถึงเวลาที่ดูเตร์เตต้องก้าวลงจากตำแหน่งในปี 2565 จำนวนผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการก็เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3 เท่า โดยตำรวจระบุว่า มีผู้ต้องสงสัยถูกสังหารระหว่างปฏิบัติการต่อต้านยาเสพติด 6,248 ศพ และรัฐบาลฟิลิปปินส์ก็ให้การยอมรับอย่างเป็นทางการว่า การเสียชีวิตดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการทำสงครามยาเสพติดจริง

แต่กลุ่มนักเคลื่อนไหวออกมาแย้งว่า จำนวนผู้เสียชีวิตที่แท้จริงในการปราบปรามนั้นสูงกว่านี้มาก เพราะมีผู้ใช้ยาเสพติดที่ฐานะยากจนหลายพันคน และจำนวนมากอยู่ในบัญชีเฝ้าระวังของตำรวจ ถูกสังหารในสถานการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ดูเตร์เตกล่าวปกป้องการทำสงครามยาเสพติดของเขาและไม่เคยขอโทษต่อการเสียชีวิตที่เกิดขึ้น ระบุว่าเขาบอกให้ตำรวจสังหารในกรณีที่ต้องป้องกันตัวเท่านั้น

แต่ญาติของผู้เสียชีวิตบางคนกับนักเคลื่อนไหวกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่เคลือบแคลงสงสัยในการกระทำของเจ้าหน้าที่ ตัดสินใจขุดศพผู้ตายขึ้นมาตรวจสอบ และมีหลายครั้งสอบครั้งที่พบร่องรอยของการเสียชีวิตจากความรุนแรง สวนทางกับในใบมรณบัตรที่ระบุว่าเสียชีวิตจากสาเหตุธรรมชาติ บางศพถึงขั้นมีรูกระสุนปืนที่ศีรษะ

อัยการของ ICC กล่าวว่า อาจมีคนมากถึง 30,000 ราย ที่เสียชีวิตภายใต้เงื้อมมือของตำรวจและบุคคลปริศนา ในการปราบปรามยาเสพติดตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ภาพบุคคลมากมายที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดของนายดูเตร์เต
ภาพบุคคลมากมายที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดของนายดูเตร์เต

...

เด็กก็ไม่ละเว้น

การปราบปรามจนถึงเดือนมิถุนายน 2563 หรือ 4 ปีหลังดูเตร์เตรับตำแหน่ง กลุ่มนักเคลื่อนไหวประเมินว่ามีเด็กถูกตำรวจสังหารระหว่างทำสงครามกับยาเสพติดประมาณ 129 ศพ โดยหนึ่งในเด็กอายุน้อยสุดที่ถูกสังหารคือ ด.ญ.ไมกา อัลปีนา ถูกยิงระหว่างที่ตำรวจบุกบ้านเพื่อจับกุมพ่อของเธอในปี 2562 โดยตำรวจอ้างว่า ผู้ต้องสงสัยใช้เด็กเป็นโล่กันกระสุน

อีกคดีเกิดขึ้นที่เกาะเนกรอส ตอนกลางของฟิลิปปินส์ ตำรวจเปิดฉากยิง ด.ญ.อัลเธีย เฟม บาร์บอน พร้อมกับพ่อของเธอที่กำลังขี่จักรยานยนต์ ทำให้เด็กหญิงเสียชีวิต ขณะที่ตำรวจพยายามอ้างว่าพ่อของเธอเป็นพ่อค้ายาเสพติด

แต่เหตุการณ์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในยุคนั้นคงไม่พ้นการฆาตกรรมนาย คียาน เดลอส ซานโตส วัยรุ่นอายุ 17 ปี ผู้ถูกตำรวจยิงตายในตรอกใกล้บ้านตัวเองบริเวณชานกรุงมะนิลาในปี 2560 โดยผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ชายหนุ่มคนนี้พยายามขอร้องให้ตำรวจปล่อยตัวเขา เพราะเขาต้องไปอ่านหนังสือสำหรับการสอบในวันถัดไป

ตำรวจอ้างว่านายซานโตสมีอาวุธ แต่ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ตำรวจลากตัวนายซานโตสที่ “ไม่มีอาวุธ” เข้าไปในตรอกและยิงเขาจนเสียชีวิต

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ตำรวจก็ถูกกล่าวหาว่าลักพาตัววัยรุ่น 2 คน ในย่านชานกรุงมะนิลาอีกแห่ง โดยตำรวจอ้างว่าทั้งสองคนพยายามปล้นรถแท็กซี่ ทำให้เกิดการไล่ตาม ซึ่งระหว่างนั้นตำรวจยิงนาย คาร์ล อาร์นาอิซ เสียชีวิต ส่วนวัยรุ่นอีกคนชื่อ เรย์นัลโด เด กุซมัน หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

จนกระทั่งหลายวันต่อมา มีผู้พบร่างไร้วิญญาณของเขาอยู่ในคลองซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุหลายร้อยกิโลเมตร และไม่มีใครอธิบายได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

เหยื่อรอดตายมาเล่า

...

การทำสงครามยาเสพติดของดูเตร์เตทำให้มีผู้เสียชีวิตมากมาย แต่ก็มีหลายคนที่รอดตายและบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่นกรณีของนาย ฟรานซิสโก ซานติอาโก จูเนียร์ เมื่อปี 2559

นายซานติอาโกบอกกับสำนักข่าว อัลจาซีรา ว่า เขากับเพื่อนอีกคนถูกตำรวจจับกุมในกรุงมะนิลา ก่อนจะถูกพาไปยังตรอกมืดๆ แล้วตำรวจก็เปิดฉากยิง ทำให้เพื่อนของเขาเสียชีวิตคาที่ ส่วนตัวเขาล้มลงและแกล้งตาย ก่อนที่เขาจะตัดสินใจลุกขึ้นมาเมื่อนักข่าวเดินทางมาถึง ซึ่งภาพการช่วยชีวิตชายคนนี้ถูกกล้องบันทึกไว้ได้ และกลายเป็นหนึ่งในหลักฐานในการยื่นฟ้องร้องต่อ ICC

นายโรเจอร์ เอร์เรโร เผชิญกับชะตากรรมคล้ายกันในปี 2561 โดยคุณพ่อลูก 4 จากจังหวัดเควซอนถูกตำรวจยิงในระยะประชิดจนกระดูกกรามแหลก หลังตำรวจกล่าวหาว่าเขาขโมยของ และพยายามขี่จักรยานยนต์หนี แต่ภรรยาของนายเอร์เรโรอ้างว่า สามีของเธอขี่จักรยานยนต์ไม่เป็น ขณะที่นายเอร์เรโรรอดชีวิตมาได้เพราะนอนแกล้งตาย

อีกคดีดังในปี 2560 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนพบคุกลับอยู่ภายในสถานีตำรวจในเมืองหลวงกรุงมะนิลา ภายในขังคน 12 คนเอาไว้อย่างแออัดยัดเยียด โดยคณะกรรมการฯ ไม่พบบันทึกการจับกุมคนเหล่านี้ และตำรวจก็ไม่ได้แจ้งครอบครัวหรือทนายเกี่ยวกับการหายตัวไปของพวกเขา อย่างไรก็ตาม การฟ้องร้องดำเนินคดีตำรวจกลุ่มนี้ถูกรัฐบาลยกเลิกในปี 2564

ชาวฟิลิปปินส์ออก,ชุมนุมหลังอดีตประธานาธิบดี ดูเตร์เต ถูกจับกุม
ชาวฟิลิปปินส์ออก,ชุมนุมหลังอดีตประธานาธิบดี ดูเตร์เต ถูกจับกุม

...

โดน ICC ออกหมายจับ

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 สำนักงานอัยการของ ICC ประกาศเริ่มการสืบสวนเบื้องต้นเพื่อหาข้อเท็จจริงของการเสียชีวิตในฟิลิปปินส์ แต่เดือนต่อมา ดูเตร์เตกลับออกคำสั่งพาฟิลิปปินส์ออกจากการเป็นสมาชิก ICC ทันที และคำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในเดือนมีนาคม 2562

อย่างไรก็ตาม กฎของ ICC ระบุว่า ถึงแม้ประเทศใดๆ จะออกจากการเป็นสมาชิก แต่ ICC ก็ยังคงมีอำนาจในการตัดสินคดีที่เกิดขึ้นระหว่างที่ประเทศนั้นๆ ยังเป็นสมาชิกของ ICC อยู่ ทำให้การสืบสวนยังดำเนินต่อไปได้จนกระทั่งในปี 2564 การสืบสวนถูกระงับ หลังฟิลิปปินส์อ้างว่า พวกเขากำลังสืบสวนข้อกล่าวหาเดียวกันนี้อยู่แล้ว

แต่ในปี 2566 ICC กลับมาเริ่มการสืบสวนอีกครั้ง โดยระบุว่าพวกเขาไม่พอใจในความพยายามสืบสวนของฟิลิปปินส์

ในตอนแรก รัฐบาลของนายเฟร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของฟิลิปปินส์ ยืนยันว่าพวกเขาจะไม่ให้ความร่วมมือกับ ICC แต่ในช่วงปี 2567 พวกเขากลับเปลี่ยนท่าทีและบอกว่าจะปฏิบัติตามหากมีการออกหมายจับใดๆ และการจับกุมตัวนายดูเตร์เตก็เกิดขึ้นในวันอังคารที่ 11 มี.ค. 2568 หลัง ICC ออกหมายจับ





ผู้เขียน : ทิตชนม์ สว่างศรี

ที่มา : reutersaljazeera