เหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว (โฮโลคอสต์) ยังเป็นเรื่องราวที่ย้ำเตือนทั่วโลกให้เห็นว่า ความเกลียดชังและการแบ่งแยกได้สร้างความสูญเสียและทุกข์ทรมานมากมาย โดยในวันที่ 27 ม.ค. ของทุกปีจึงถูกกำหนดให้เป็น “วันรำลึกเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว” เพื่อให้ผู้คนไม่ลืมเลือนบรรดาเหยื่อชาวยิวกว่า 6 ล้านคน และป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ รวมถึงการต่อต้านความเกลียดชัง
สถานเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย จัดพิธีรำลึกถึงความโหดร้ายในอดีต เนื่องในวาระครบรอบ 80 ปีของเหตุการณ์โฮโลคอสต์ และการปลดปล่อยค่ายเอาชวิทซ์-เบอร์คาเนา ค่ายกักกันและค่ายสังหารของนาซีเยอรมนีที่ใหญ่ที่สุดเมื่อ 27 ม.ค.2568 โดยนางออร์นา ซากิฟ เอกอัคร ราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย เน้นย้ำถึงความสำคัญของเหตุการณ์นี้ซึ่งเป็นบาดแผลที่ไม่ควรถูกลืมเลือน ต้องมีการเรียนรู้ สร้างความเข้าใจ เพื่อ ไม่ให้เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นอีก แม้ว่าโฮโลคอสต์จะไม่สามารถเปรียบเทียบกับอาชญากรรมสงครามใดได้ แต่ยังมีเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันอย่างสงครามในฉนวนกาซาที่คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน ดร.แอ็นสท์ ไรเชิล เอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย กล่าวถึงบทบาทของเยอรมนีที่ให้ความมั่นใจว่าจะไม่ลืมโศกนาฏกรรมในอดีตรวมถึงปกป้องไม่ให้มีการบิดเบือนข้อมูล หรือการทำให้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ อีกทั้งเยอรมนียังมีจุดยืนในการต่อต้านความรุนแรง การเกลียดชังชาวยิว การเหยียดเชื้อชาติและแนวคิดหัวรุนแรงต่างๆเช่นกัน
นอกจากนี้ ผศ.ดร.ตุลย์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แบ่งปันบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์โฮโลคอตส์ ประการแรก ไม่ควรมีแนวคิดแบ่งแยกระหว่าง “พวกเรา” และ “พวกเขา” ต่อมาคือ ต้องยึดมั่นในหลักการ มนุษย์ทุกคนไม่ต่างกัน แม้แนวคิดนี้จะมีความเป็นอุดมคติแต่ก็เป็นสิ่งที่เราทุกคนควรใฝ่หาเพื่อรักษาสันติภาพในโลก ส่วนประการสุดท้ายคือ การมีความรับผิดชอบทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและระดับรัฐ เช่น การมีความรับผิดชอบต่อเพื่อนมนุษย์ มีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
...
สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับทุกคนบนโลกที่จะช่วยสร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิมได้.
ญาทิตา เอราวรรณ
คลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม