ทันทีที่รัสเซียถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากสหรัฐฯและพันธมิตรตะวันตกข้อหารุกรานอูเครนเมื่อ ค.ศ.2022 อินเดียซึ่งเป็นประเทศหลักในกลุ่มบริกส์ กลับทำสวนทางด้วยการประกาศเพิ่มการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย

อินเดียพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันมากกว่าร้อยละ 85 ของการใช้น้ำมันทั้งประเทศ แต่ก่อนง่อนชะไร อินเดียนำเข้าน้ำมันดิบจากซาอุดีอาระเบียและอิรัก หลังจากที่รัสเซียโดนรังแกจากสหรัฐฯและตะวันตก อินเดียก็เป็นผู้นำเข้าน้ำมันรัสเซียรายใหญ่ที่สุด ทำให้รัสเซียเป็นซัพพลายเออร์น้ำมันรายใหญ่สุดของอินเดียใน ค.ศ.2023 สร้างความเอ๋อเหวอหวาหน้าแหกแตกสนิทให้กับสหรัฐฯและพันธมิตร

อินเดียและรัสเซียยังปรึกษาหารือกันเรื่องการชำระเงินค่าน้ำมันว่า แต่ก่อนง่อนชะไรเราใช้ดอลลาร์สหรัฐฯในการชำระเงิน ต่อแต่นี้ไป เราอย่าใช้ดอลลาร์อีกเลย หันมาใช้ “เงินรู” ดีกว่า รัสเซียก็ใช้รูเบิ้ล อินเดียก็ใช้รูปี

สหรัฐฯมองว่าการเข้าไปยุ่มย่ามช่วยเหลือเศรษฐกิจของรัสเซียซึ่งถูกลงโทษ เท่ากับว่าอินเดียสนับสนุนรัสเซียในการรุกรานอูเครน อินเดียบอกว่า อ้า เฮ้ย เอ็งเอาสมองส่วนไหนคิด อีนี่ ฉันไม่ได้สนับสนุนการบุกอูเครน แต่ฉันเพียงรักษาความสัมพันธ์ทางการค้ากับรัสเซียเอาไว้

ท่ามกลางความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก เพื่อนช่วยเพื่อน รัสเซียมีส่วนช่วยให้อินเดียสามารถควบคุมต้นทุนพลังงานในประเทศได้

ผู้อ่านท่านคงรู้อยู่แล้วนะครับว่าทรัมป์เป็นผู้นำหมาบ้า ที่ไม่ยอมใคร ไม่ยอมคน แล้วก็มีความเป็นไปได้ที่จะใช้ Secondary Sanctions หรือการคว่ำบาตรต่อรองบริษัทหรือธนาคารของอินเดียที่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับการทำธุรกรรมซื้อน้ำมันจากรัสเซีย

เดือนมิถุนายน 2019 ทรัมป์เคยเล่นงานอินเดียมาแล้วด้วยการยกเลิกการให้สิทธิพิเศษด้านภาษีศุลกากรแก่อินเดีย การโดนทรัมป์กระหน่ำตีในปีนั้น ทำให้อินเดียสูญเสียสิทธิพิเศษสำหรับการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯประมาณ 2,000 รายการ ทำให้สินค้าจากอินเดียต้องเสียภาษีเต็ม เมื่อภาษีแพง ต้นทุนสินค้าก็แพง เมื่อสินค้าอินเดียแพง ผู้บริโภคชาวอเมริกันก็ไม่ซื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้าของอินเดียประเภทอุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องหนัง และสินค้าเกษตร

...

การส่งออกของอินเดียสูญหายมลายไปหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับอินเดียอยู่ในสถานการณ์สงครามการค้าระดับย่อม เมื่อสหรัฐฯยิงอินเดีย อินเดียก็ใช้หนังสติ๊กยิงกลับด้วยการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าหลายอย่างจากสหรัฐฯ ทั้งอัลมอนด์ แอปเปิ้ล และถั่วเหลือง สร้างความโอดโอยโหยหวนให้กับเกษตรกรอเมริกันที่เมื่อก่อนเคยขายสินค้าให้อินเดีย

สมาชิกกลุ่มบริกส์ในห้วงช่วงปีเหล่านั้นมีจีน รัสเซีย อินเดีย บราซิล และแอฟริกาใต้ แม้ว่าจะอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่อินเดียกับจีนก็มีความสัมพันธ์อันรุ่งริ่ง ทำให้อินเดียยังคงต้องง้อสหรัฐฯเพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตและการป้องกันประเทศกับสหรัฐฯในการรับมือกับอิทธิพลของจีนในภูมิภาค

เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง อินเดียก็คงจะนอนเอาเท้าก่ายหน้าผาก หาวิธีที่จะไปเจรจากับสหรัฐฯเพื่อสร้างข้อตกลงทางการค้าที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย อินเดียอาจจะลดภาษีสินค้าเกษตรและสินค้าเทคโนโลยีจากสหรัฐฯเพื่อเอาใจทรัมป์ ส่วนสหรัฐฯเองก็ยังต้องการอินเดียเพื่อใช้คานอำนาจกับจีน

สหรัฐฯขอให้อินเดียเข้ามาอยู่ในควอด (QUAD) หรือ Quadrilateral Security Dialogue ที่เป็นการชุมนุมสุมหัวกันของสหรัฐฯ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และอินเดีย (ที่จะต่อต้านจีน) ตอนนี้ก็เป็นไปได้ที่อินเดียอาจจะนึกถึงการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐฯเพื่อแสดงความร่วมมือในด้านพลังงานและเพื่อลดแรงกดดันจากทรัมป์

ทรัมป์เองก็อาจจะสนับสนุนอินเดียในการแก้ไขความขัดแย้งชายแดนกับจีน ทรัมป์อาจจะช่วยอินเดียด้านข่าวกรองและเทคโนโลยีการป้องกันประเทศ อินเดียก็อาจจะเกาะทรัมป์เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองในเวทีระหว่างประเทศ เช่น ในสหประชาชาติหรือองค์การการค้าโลก

สิ่งที่อินเดียใฝ่ฝันปรารถนาก็คือการเป็นตัวกลางระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯในการเจรจาทางการทูตหรือนโยบายระหว่างประเทศ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายดีกัน หากทรัมป์มีนโยบายที่เป็นมิตรกับรัสเซีย อินเดียก็จะแฮปปี้มีความสุขสนุกสนานเบิกบานสำราญใจในการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสองฝ่าย.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com 

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่