“ไทยรัฐออนไลน์” เมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมานี้เอง นำเสนอรายงานข่าวชิ้นหนึ่งไว้ในส่วนที่เรียกว่า THAIRATH+ หรือ THAIRATH PLUS นำเสนอเรื่องราวและข่าวคราวที่ควรรู้และมีประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตประจำวัน รวมไปถึงความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาการเปลี่ยนแปลงตลอดจนความเคลื่อนไหวไปสู่ความยั่งยืนทั้งของประเทศไทยและของโลก

ข่าวเล็กๆ ดังกล่าวนี้ พาดหัวว่า “เดนมาร์ก” เตรียมเก็บภาษี “ผายลม” และ “เรอ” ของ “วัว” “หมู” และ ฯลฯ เร็วๆนี้

เห็นหัวข่าวแล้วก็อดยิ้มเสียมิได้ นึกถึง “ข่าวฮา” ต่างๆ ที่มักจะเกิดขึ้นในแต่ละวันทั่วโลก

แต่พอคลิกเข้าไปอ่านเนื้อข่าวถึงได้รู้ว่านี่คือเรื่องจริงจังที่ขำไม่ออก...เหตุเพราะเขาจะมีการเก็บภาษีในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ตั้งแต่ปี ค.ศ.2030 อีก 6 ปีนับจากนี้

เนื้อข่าวโดยละเอียดรายงานตอนหนึ่งว่า ในช่วงแรกเกษตรกรเดนมาร์กจะต้องจ่ายเงิน 300 โครเนอร์ (ประมาณ 1,500 บาท) ต่อก๊าซมีเทนหนึ่งตัน ที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มาจากการทำปศุสัตว์...จากนั้นก็จะต้องเสียเพิ่มขึ้นเป็น 750 โครเนอร์ หรือประมาณ 3,600 บาท ในปี 2035

อันสืบเนื่องมาจากข้อตกลงจากคณะกรรมการ “ไตรภาคีด้านสิ่งแวดล้อม” ของเดนมาร์ก อันประกอบด้วยตัวแทนภาครัฐบาล, เกษตรกร, ตัวแทนด้านสิ่งแวดล้อม ฯลฯ หลังจากเจรจาพูดคุยและต่อรองกันมายาวนานมาก เพิ่งจะได้ข้อยุติเมื่อเดือนพฤศจิกายนนี้เอง

สาเหตุที่ทำให้หลายๆฝ่ายต้องมาคุยกันเรื่องนี้เป็นเพราะ เดนมาร์ก มีเขตการเกษตรราวๆ 60 เปอร์เซ็นต์ และมีประชากร “หมู”+“วัว” มากกว่าประชากร “มนุษย์” ถึง 5 เท่า

“ผายลม”+“เรอ”+มลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นจากปศุสัตว์ จึงเป็นปัญหาอย่างมีนัยสำคัญของประเทศนี้

...

แต่เกษตรกรเดนมาร์กก็เหมือนกับผู้คนหรือมนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ ที่ต่อต้านการเสียภาษี ไม่อยากจ่ายเงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น

ทำให้ต้องใช้เวลาพูดคุยกันยาวนานมากกว่าทุกๆฝ่ายจะเห็นพ้องต้องกันว่าควรมีภาษีนี้ โดยเฉพาะจากฝ่ายเกษตรกร

ผมเคยไปดูงานที่เดนมาร์กมา 2-3 ครั้ง ยังจำราชอาณาจักรที่มีขนาด 42,533 ตารางกิโลเมตร (เล็กกว่าประเทศไทยราวๆ 10 เท่า) ได้ดี มีการเลี้ยงปศุสัตว์โดยเฉพาะโคนมเป็นอาชีพหลักจนได้รับฉายาว่า “ดินแดนโคนม”

โดยรวมเดนมาร์กเป็นประเทศพัฒนาแล้วระดับสูง...รายได้ต่อหัวอยู่ที่ 63,829 เหรียญสหรัฐฯ ท็อป 10 ของโลก ดัชนีการพัฒนามนุษย์ หรือ HDI ซึ่งรวมการพัฒนาทุกด้านของมนุษย์ก็อยู่ในเกณฑ์สูง ติดระดับท็อปเทนเช่นกัน

อ่านข่าวแล้วนึกภาพแล้วก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมีจิตใจที่รักธรรมชาติ หวงแหนทรัพยากรธรรมชาติอันจำกัดของโลก รวมถึงมีความคิดอ่านที่จะจัดเก็บภาษี “ผายลม” สัตว์ขึ้นในประเทศของเขาเอง

บ้านเรายุคนี้ก็มีปศุสัตว์เยอะ โดยเฉพาะการเลี้ยงโคนม ซึ่งก็มาจากการร่วมมือและได้รับความช่วยเหลือของรัฐบาลเดนมาร์ก เมื่อ พ.ศ.2503 ภายหลังในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จเยือนประเทศเดนมาร์ก และมีพระราชดำริให้มีการส่งเสริมการเลี้ยงโคนมขึ้นในบ้านเรา

ต่อมาจึงได้มีการส่งเสริมการเลี้ยงโคนม ตั้งโรงงานนมโคแห่งแรก โดยพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 9 และพระราชินีแห่งเดนมาร์กได้เสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ด้วย พระองค์เอง เมื่อ 16 มกราคม 2505 เจริญรุ่งเรืองมาถึงบัดนี้

ผมไม่ทราบว่าบ้านเราจะมีการพัฒนาไปจนถึงการเก็บภาษีจาก “ผายลม” หรือ “เรอ” ของปศุสัตว์หรือไม่? แต่เห็นว่าข่าวนี้เป็น “ข่าว” ที่น่าสนใจมาก จึงขออนุญาตนำมาลงคอลัมน์ของผมด้วยอีกช่องทางหนึ่ง...เผื่อว่าจะมีการเก็บภาษีประเภทนี้ ขึ้นบ้างในประเทศเราในอนาคต จะได้เตรียมตัวเตรียมใจกันไว้.

“ซูม”

คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม