นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ ประกาศให้คำมั่นผ่านTruth Social เครือข่ายสังคมออนไลน์ของเขาว่าเขาจะใช้กองทัพสหรัฐฯ ในการดำเนินการเนรเทศผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายจำนวนมากตามที่สัญญาไว้ ทันทีที่เขาขึ้นรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
นายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าไปตอบข้อความของกลุ่มผู้สนับสนุนเขา ที่โพสต์ข้อความว่าทรัมป์จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติและใช้กองทัพเพื่อดำเนินการเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายในวงกว้าง หากเขาชนะการเลือกตั้งและเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2025 โดยเขาเข้าไปพิมพ์ตอบว่า "TRUE!!!" ซึ่งแปลว่า "จริง" ลงไป เป็นการยืนยันว่าเขาจะดำเนินการตามนั้นจริง
โดยในระหว่างการหาเสียง ทรัมป์เคยสัญญาว่าจะระดมกำลังของกองกำลังรักษาความปลอดภัยแห่งชาติเพื่อช่วยเหลือสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรแห่งสหรัฐอเมริกา หรือICE ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลกลางที่รับผิดชอบในการเนรเทศ โดยทรัมป์ได้กล่าวว่าจะเริ่มดำเนินการเนรเทศตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งก็คือวันที่ 20 มกราคม 2025
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีแผนที่ดูเหมือนจะได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย แต่ก็มีคำถามเกี่ยวกับวิธีการที่ทรัมป์จะสามารถดำเนินการตามแผนนี้ได้ เนื่องจากมีอุปสรรคทางด้านโลจิสติกส์จำนวนมาก ตัวอย่างเช่น ICE มีเจ้าหน้าที่เพียง 20,000 คน ซึ่งอาจไม่เพียงพอในการติดตามและจับกุมผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายหลายล้านคน และยังต้องใช้ต้นทุนทางการเงินที่สูงอีกด้วย
โดยความเคลื่อนไหวล่าสุด จะเห็นว่าทรัมป์ได้เลือกผู้ที่รู้จักใกล้ชิดหลายคนให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล เช่น คริสติ โนเอ็ม ที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหัวหน้ากระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ และ ทอม โฮแมน อดีตผู้อำนวยการ ICE ซึ่งจะรับหน้าที่เป็น "border tsar" หรือผู้ดูแลนโยบายชายแดน
...
นอกจากนี้ ทรัมป์เคยกล่าวว่าเขาวางแผนที่จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติ ซึ่งจะทำให้เขาสามารถส่งกองทัพไปปฏิบัติการบนแผ่นดินสหรัฐฯ ได้
ในขณะเดียวกันองค์กรไม่แสวงผลกำไร สหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน หรือ ACLU ได้ยื่นฟ้อง ICE เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับแผนการเนรเทศนี้ และมีแผนที่จะยื่นฟ้องเพิ่มเติมเพื่อคัดค้านแผนการเนรเทศจำนวนมาก
ทั้งนี้ ในสมัยที่ทรัมป์ได้ขึ้นบริหารประเทศรอบที่แล้ว เขาได้เนรเทศและส่งกลับผู้คนประมาณ 1.5 ล้านคน ในขณะที่รัฐบาลของ นายโจ ไบเดน จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ก็มีการเนรเทศผู้อพยพประมาณ 1.1 ล้านคน ซึ่งคาดว่าเมื่อหมดวาระตัวเลขน่าจะมีความใกล้เคียงกัน.
ที่มา : BBC
คลิกอ่านข่าว ทรัมป์