• โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ไม่ยอมเสียเวลาในการเลือกเจ้าหน้าที่ที่จะมารับตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลชุดใหม่ของเขา โดยชุดแรกมีทั้งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ผู้คุมชายแดน เอกอัครราชทูตประจำสหประชาชาติ และหัวหน้าหน่วยงานปกป้องสิ่งแวดล้อม 
  • ซูซี่ ไวลส์ ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมหาเสียงของเขา จะมารับตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวที่เป็นผู้หญิงคนแรก ในขณะที่ทอม โฮแมน ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งในสมัยแรกของทรัมป์ จะมีบทบาทสำคัญเป็นผู้คุมชายแดน ดูแลเรื่องการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย
  • ประธานาธิบดีต้องรับผิดชอบการแต่งตั้งนักการเมืองประมาณ 4,000 คน ซึ่งกระบวนการนี้อาจกินเวลาหลายเดือน โดยทีมงานเปลี่ยนผ่านของประธานาธิบดีของทรัมป์กำลังคัดกรองผู้สมัครหลายรายก่อนที่เขาจะกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวในวันที่ 20 มกราคม 2025

เพียงไม่กี่วันหลังจากที่เขาได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ทรัมป์ก็ได้แต่งตั้งที่ปรึกษาและพันธมิตรทางการเมืองจำนวนหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ รวมไปถึงหัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวด้วย

การแต่งตั้งในช่วงแรกของทรัมป์ยังเกี่ยวข้องกับประเด็นสำคัญๆ เช่น การเนรเทศผู้ลักลอบอพย ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่พรรครีพับลิกันให้ความสำคัญในแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งในปี 2024

...

"ซูซี่ ไวลส์" หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว

ซูซี่ ไวลส์ ที่ปรึกษาอาวุโสในแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งของทรัมป์ในปี 2024 ซึ่งเป็นหญิงเหล็กที่อยู่เบื้องหลังชัยชนะของทรัมป์ในการเลือกตั้งเพื่อทวงเก้าอี้ประธานาธิบดีครั้งนี้ เป็นคนแรกที่ทรัมป์ประกาศแต่งตั้งเข้ารับตำแหน่งในฝ่ายบริหารของเขา

หญิงวัย 67 ปีผู้นี้เป็นหนึ่งในคนที่ทรัมป์ไว้วางใจมากที่สุดในทีมของเขา เธอเป็นผู้วางแผนเส้นทางการกลับมาเล่นการเมืองของทรัมป์ โดยเป็นผู้มีประสบการณ์ด้านการเมืองของรัฐฟลอริดา เธอยังเคยทำงานในแคมเปญหาเสียงของอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนในปี 1980 และยังเคยช่วยให้รอน เดอซานติส ชนะการเลือกตั้งรอบแรกในนามผู้ว่าการรัฐ ก่อนที่จะช่วยให้ทรัมป์เอาชนะเดอซานติสในการเลือกตั้งขั้นต้นของพรรครีพับลิกันในปี 2024

ทรัมป์กล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า ซูซี่ ไวลส์ เพิ่งช่วยให้เขาบรรลุชัยชนะทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อเมริกา และประกาศว่าได้เลือกเธอให้เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญ มีอิทธิพลในทำเนียบขาว เพราะต้องดูแลทรัมป์ ต้องเข้าพบและหารือกับประธานาธิบดีทุกวันตลอดจนต้องดูแลทุกๆเรื่องที่เกิดขึ้นในทำเนียบขาว

ทรัมป์บอกว่า ซูซี่เป็นหญิงที่เข้มแข็ง ฉลาด มีนวัตกรรม เธอยังเป็นที่ชื่นชมและเคารพนับถือจากคนทั่วไป ซึ่งเขาเชื่อว่าซูซี่จะทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อให้ประเทศอเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

ทางด้านเอมี่ โคช นักยุทธศาสตร์ของพรรครีพับลิกัน กล่าวกับอัลจาซีราว่า ไวลส์เป็นคนที่ภักดีต่อทรัมป์ และเธอมีคุณสมบัติครบตามที่เขามองหา สำหรับคนที่เขาจะคัดเลือกมาเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี 

"ทอม โฮแมน" ผู้ควบคุมชายแดน

ทรัมป์ได้ระบุชื่อโฮแมน วัย 62 ปี ให้เป็น "ผู้ควบคุมชายแดน"ผู้ที่จะทำหน้าที่สำคัญ เพื่อทำให้นโยบายการเนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ของทรัมป์เป็นจริงตามสัญญา โดยทรัมป์โพสต์บนเว็บไซต์ Truth Social เมื่อช่วงค่ำวันอาทิตย์ ที่ผ่านมาว่า ไม่มีใครทำหน้าที่ควบคุมและปราบปรามชายแดนได้ดีไปกว่าโฮแมนอีกแล้ว 

ทรัมป์ยังกล่าวอีกว่า โฮแมนเคยดำรงตำแหน่งอดีตหัวหน้าสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรของสหรัฐฯ ในรัฐบาลชุดแรกของทรัมป์ และจากนี้ไปเขาจะเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการ การเนรเทศคนต่างด้าวที่เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายกลับไปยังประเทศต้นทาง

ทรัมป์สัญญาว่าจะดำเนินการเนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ซึ่งคำมั่นสัญญานี้ได้สร้างความกังวลอย่างกว้างขวางจากผู้สนับสนุนสิทธิของผู้อพยพและผู้ขอลี้ภัย

โฮแมนยืนกรานว่า การดำเนินการครั้งใหญ่เช่นนี้จะต้องเป็นไปตามหลักมนุษยธรรม ซึ่งเขาได้เสนอในการประชุมเดือนกรกฎาคมที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ว่าเขายินดีที่จะ ดำเนินปฏิบัติการเนรเทศผู้ลี้ภัยครั้งใหญ่ที่สุดที่ประเทศนี้เคยเห็นมา

ที่ผ่านมาเขานายโฮแมนยังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงการปกป้องนโยบายไม่ยอมประนีประนอม ของทรัมป์ ซึ่งส่งผลให้พ่อแม่และเด็กๆหลายพันคน ต้องแยกจากกัน เพื่อขอสถานะผู้ลี้ภัยที่ชายแดน

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ไปให้สัมภาษณ์กับรายการ 60 Minutes ของ CBS News เมื่อปลายเดือนตุลาคมไม่นานก่อนที่ทรัมป์จะได้รับการเลือกตั้ง โฮแมนถูกถามว่ามีวิธีใดที่จะทำการเนรเทศจำนวนมากโดยไม่ต้องแยกครอบครัวหรือไม่ ซึ่งในตอนนั้นเขาตอบว่ามีแน่นอน และครอบครัวสามารถถูกเนรเทศพร้อมกันได้

...

"เอลีส สเตฟานิก" ทูตสหรัฐฯ ประจำยูเอ็น 

เอลีส สเตฟานิก วัย 40 ปี เป็นหนึ่งในสส.รีพับลิกันที่ออกมาปกป้องทรัมป์อย่างเข้มแข็งที่สุดในรัฐสภา เธอดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกัน มาเป็นเวลา 10 ปี และรับตำแหน่งประธานที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันในปี 2021 หลังจากที่ลิซ เชนีย์ ถูกพรรคปลดออก จากกรณีที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์อย่างรุนแรงเกี่ยวกับข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จในคดีทุจริตการเลือกตั้งปี 2020

ก่อนหน้านี้ สเตฟานิกยังเป็นคนสำคัญในการผลักดันให้รัฐสภาแก้ไขข้อกล่าวหาเรื่องการต่อต้านชาวยิวในมหาวิทยาลัยของสหรัฐฯ ซึ่งนักวิจารณ์มองว่า แท้จริงแล้วเป็นความพยายามที่จะปราบปรามการวิพากษ์วิจารณ์อิสราเอลที่กำลังทำสงครามในฉนวนกาซา

หากได้รับการยืนยันเธอจะเดินทางไปยังสหประชาชาติ ในช่วงเวลาที่มีความวิตกกังวลเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับจุดยืนของรัฐบาลทรัมป์ ในเรื่องสงครามรัสเซีย-ยูเครน ท่ามกลางสงครามของอิสราเอลในฉนวนกาซาและเลบานอนที่ยังคงยืดเยื้อ ทำให้เกิดความวิตกกังวลมากขึ้นว่าสถานการณ์ในตะวันออกกลางจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า การที่สเตฟานิกประกาศสนับสนุนอิสราเอล อาจทำให้เกิดความขัดแย้งภายในยูเอ็นและแน่นอนว่าจะเป็นการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับพันธมิตรระหว่างประเทศ 

ทรัมป์เคยโพสต์ลง Truth Social ว่าสเตฟานิกจะเป็นเอกอัครราชทูตที่ยอดเยี่ยมประจำสหประชาชาติ โดยจะเธอจะเป็นสื่อกลางส่งผ่านสันติภาพด้วยความเข้มแข็งและยืนหยัดนโยบายด้านความมั่นคงแห่งชาติที่ให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก

...

"สตีเฟน มิลเลอร์" รองหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายนโยบาย

แม้ว่าทรัมป์จะยังไม่ได้ประกาศแต่งตั้งมิลเลอร์อย่างเป็นทางการ แต่เป็นว่าที่รองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ที่ออกมายืนยันในเรื่องนี้ โดยบอกว่า นี่คือการเลือกคนเข้าดำรงตำแหน่งที่ยอดเยี่ยมอีกครั้งหนึ่งของประธานาธิบดี

โดยนายมิลเลอร์ วัย 39 ปี เป็นที่ปรึกษาของทรัมป์ในประเด็นต่อต้านผู้อพยพ ซึ่งที่ผ่านมาเขาเป็นหนึ่งในคนที่ช่วยร่างนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์สมัยแรก อาทิ นโยบายที่เกี่ยวกับการแยกครอบครัวผู้อพยพ

อดีตผู้ช่วยของไมค์ เพนซ์ ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของทรัมป์ตั้งแต่ปี 2017-2021 เคยกล่าวว่า การที่รัฐบาลทรัมป์ใช้มาตรการด้านสาธารณสุขเพื่อปิดพรมแดนทางใต้ของสหรัฐฯ กับเม็กซิโกอย่างมีประสิทธิผลระหว่างการระบาดของโควิด-19 ถือเป็นผลงานสุดพิเศษของสตีเฟน มิลเลอร์ โดยในตอนนั้นภายใต้กฎหมายที่เรียกว่า Title 42 ผู้ย้ายถิ่นฐานและผู้ขอสถานะผู้ลี้ภัยหลายพันคนถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเมืองชายแดนเม็กซิโกซึ่งเป็นอันตราย และเผชิญกับความรุนแรงอย่างกว้างขวางรวมทั้งการข่มขืน การฆาตกรรม และการลักพาตัว

ก่อนหน้านี้ นายมิลเลอร์ สนับสนุนคำมั่นสัญญาของทรัมป์ในปี 2024 ที่จะทำการเนรเทศผู้ลักลอบอพยพเข้าประเทศจำนวนมาก เขายังมักใช้ถ้อยคำที่รุนแรงเพื่อโจมตีผู้อพยพอยู่บ่อยครั้ง โดยกล่าวในการชุมนุมหาเสียงของทรัมป์ที่นิวยอร์กเมื่อเดือนที่แล้วว่า "อเมริกาเป็นของคนอเมริกันและคนอเมริกันเท่านั้น"

...

"ลี เซลดิน" หัวหน้าสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม

ที่ผ่านมานายเซลดิน วัย 44 ปี ไม่เคยมีประสบการณ์งานด้านสิ่งแวดล้อม แต่เขาเป็นผู้สนับสนุนประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกเพราะความซื่อสัตย์จงรักภักดี โดยเขาเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากนิวยอร์ก เขาให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนแผนของทรัมป์ในการยกเลิกการควบคุมการอนุมัติการสกัดพลังงานและลดขั้นตอนทางกฎระเบียบที่ยุ่งยาก

หลังได้รับการติดต่อว่าจะให้เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม เขาโพสต์บน X ว่ารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับตำแหน่งนี้ พร้อมระบุว่าจะฟื้นคืนความโดดเด่นด้านพลังงานของสหรัฐฯ ฟื้นฟูอุตสาหกรรมรถยนต์เพื่อนำงานกลับคืนมาสู่อเมริกา และทำให้สหรัฐฯ เป็นผู้นำด้าน AI ของโลก เขายังกล่าวจะปกป้องการเข้าถึงอากาศและน้ำที่สะอาด

ระหว่างการหาเสียง ทรัมป์วิจารณ์รัฐบาลไบเดนที่สนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าและข้อจำกัดต่างๆในการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซ นอกจากนี้ เขายังมักใช้คำว่า “drill baby drilling” เพื่ออธิบายแนวทางการสำรวจปิโตรเลียมของรัฐบาลชุดใหม่ของเขา

นอกจากนี้ มีข่าวว่า ทรัมป์ยังเตรียมแต่งตั้ง นายไมค์ วอลทซ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐฟลอริดา และอดีตเจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษ ให้มาเป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของเขา ซึ่งภายในเดือนหน้ารายชื่อคณะรัฐมนตรีและตำแหน่งสำคัญๆในฝ่ายบริหารของทรัมป์จะทยอยได้รับการเปิดเผยออกมา.