ระหว่างที่บรรยากาศการนับคะแนนเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 กำลังเป็นไปอย่างคึกคัก ทีมดำเนินรายการของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ได้พยายามยกข้อมูลเปรียบเทียบว่า “คามาลา แฮร์ริส” ตัวแทนพรรคเดโมแครต ทำผลงานปีนี้ได้เหนือกว่าการเลือกตั้งสหรัฐฯ 2020 ของประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” ในพื้นที่ใดบ้าง

ปรากฏว่าทำเอาตาเหลือกไปตามๆกัน หลังกราฟิกแผนที่ประเทศแสดงให้เห็นถึงความว่างเปล่า จากทั้งหมด 3,243 เขตไม่มีพื้นที่ใดได้คะแนนเหนือกว่า 4 ปีก่อนเลย จนทีมข่าวพูดออกมาด้วยความประหลาดใจและตกใจว่า “ไม่มีแม้แต่เขตเดียวจริงๆหรือนี่?”

และสุดท้ายบทสรุปก็ชัดเจนว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ วัย 78 ปี ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน คือผู้ที่กำชัยชนะอย่างถล่มทลาย นอกจากจะครอบครองคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งทะลุเกณฑ์ 270 เสียงไปมากโข ยังสามารถปักธงในรัฐสวิงสเตทที่ไม่ฝักใฝ่พรรคใดในปีนี้ ไปได้ครบทั้งหมด 7 รัฐ

ความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปของ “คามาลา แฮร์ริส” ในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ จึงกลายเป็นคำถามที่น่าสนใจว่า ไปผิดพลาดกันตรงไหน ในเมื่อสื่อกระแสหลักของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นสถานีโทรทัศน์ต่างๆ หรือสำนักข่าวเก่าแก่ต่างพากันชี้เป้าว่า แฮร์ริสมาแน่ แฮร์ริสได้เปรียบ โพลนำในรัฐต่างๆ ขณะที่ทรัมป์ถูกเขียนให้เป็นปีศาจ เอาไปเปรียบเทียบต่างๆนานา กับบรรดาเผด็จการในอดีต และจะกลับมาสร้างความปั่นป่วนแก่บ้านเมืองและเวทีโลก

อย่างไรก็ตาม หากมองอย่างเป็นธรรมในเรื่องของ “ภาพรวม” แล้ว ย่อมเห็นได้ชัดเจนว่าพรรคเดโมแครตมีความผิดพลาดตั้งแต่แรกเริ่ม นั่นคือการ “เปลี่ยนม้าศึกกลางคัน” ทั้งยังเป็นการเปลี่ยนตัวผู้สมัครที่รูปการณ์ไม่งดงามสักเท่าไรนัก เนื่องด้วยกระแสข่าวภายในที่บ่งชี้ว่าเป็นการบีบให้ออกโดยกลุ่มการเมืองทรงอิทธิพลในพรรค

...

ในช่วงนั้นแม้ทางเครื่องจักรพีอาร์ของฝั่งเดโมแครตจะโหมกระแสให้กองเชียร์ยอมรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปได้ แต่ปัญหาลำดับต่อมา อยู่ที่ตัวผู้สมัครเอง ที่ไม่สามารถสร้างความยอมรับจากสังคมชาวอเมริกันได้สำเร็จ ประการแรกที่เห็นได้ชัดคือ แฮร์ริสไม่มีอะไรมาทำให้คนเชื่อใจว่าสภาพบ้านเมืองจะดีขึ้นกว่าเดิม

ไม่มีการฉีกตัวออกจากแนวทางของรัฐบาลโจ ไบเดน หรือแสดงให้ประชาชนรับรู้ว่าตัวเธอมองเห็นปัญหาอย่างแท้จริง และต้องการโอกาสที่จะมีบทบาทหลังตำแหน่งรองประธานาธิบดีทำอะไรไม่ได้มากเท่าผู้นำ

ซึ่งเรื่องนี้มันก็พ่วงไปยัง แนวคิดสังคม “เบิกเนตร” หรือ Woke (โว้ก) ที่แฮร์ริสย้ำมาตลอดเวลาว่าทุกคนต้องโว้กมากขึ้นกว่านี้ ต้องให้ความสำคัญกับอารมณ์ความรู้สึกและความคิดเห็นมากกว่าข้อเท็จจริงอันโหดร้าย จนสิ่งที่ปรากฏออกมาคือแฮร์ริสไม่กล้าที่จะ “เชือด” ไบเดนทิ้งเพื่อสร้างความแตกต่าง

และแน่นอนว่าความโว้กใส่ใจอารมณ์เป็นหลัก ก็ส่งผลไปถึงเรื่องการบดขยี้คู่แข่ง “โดนัลด์ ทรัมป์” เช่นกัน เพราะเนื้อเรื่องของ แคมเปญหาเสียงแฮร์ริสก็มีความครึ่งๆกลางๆ จากเดิมที่เริ่มด้วยการขยี้แผลเรื่องคดีความ โจมตีว่าทรัมป์คือภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย กลับถูกล้างไพ่ปรับเปลี่ยนเป็นการส่งสารถึงประชาชนด้วยข้อความอันเป็นมิตร ให้ความสำคัญกับเสรีภาพ ไม่ทำให้คนกลุ่มใดรู้สึกแปลกแยก

ขึ้นเวทีด้วยความยิ้มแย้ม ออกรายการโทรทัศน์พร้อมเสียงหัวเราะ พยายามเล่นมุกตลกขบขัน ซึ่งมาพร้อมกับการกล่าวสุนทรพจน์แบบเจาะกลุ่ม ฐานเสียงพื้นที่นี้ชอบอะไรก็จะพูดเอาใจเช่นนั้น พอย้ายไปพื้นที่อื่นก็จะพูดอีกสิ่งหนึ่งเพื่อให้คนฟังนิยมชมชอบ โดยหารู้ไม่ว่าการพูดเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา อาจถูกมองได้ว่า “ปลิ้น ปล้อน” ส่วนการโจมตีคู่แข่งก็จะเน้นเพียงประเด็นที่ทรัมป์หรือทีมทรัมป์พูดจาอะไรไม่ดีออกมา หรือเพียงแค่พยายามแขวะไปที่ทรัมป์ในลักษณะตัวบุคคล ไม่มีการถล่มโจมตีในเรื่องนโยบายและทิศทางของรีพับลิกันในภาพรวม

นอกจากนี้ เรื่องที่กองเชียร์ฝั่งเดโมแครตในสหรัฐฯช็อกไปตามๆกัน และตั้งคำถามในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาว่า ทำไมคนผิวสีถึงไม่เลือกแฮร์ริสถล่มทลายตามคาด ทั้งๆที่ให้ความสำคัญและใส่ใจตามแนวคิดโว้กขนาดนี้ คำตอบก็มาจากการที่ยึดอารมณ์เป็นหลัก ไม่ดูสภาพความเป็นจริง เพราะสิ่งที่ประชากรชั้นแรงงานให้ความสนใจเป็นอันดับหนึ่ง คือเรื่องของ “ปากท้อง” ตอนนี้ราคาแก๊สเท่าไร อาหารการกินแพงแค่ไหน ผ่อนบ้านไหวหรือเปล่า ไม่มีเวลามาเข้าใจตัวเลขทางสถิติว่า รัฐบาลดึงระดับเงินเฟ้อจาก 9% ลงมาอยู่ที่ 2.4% แล้วนะ

เช่นเดียวกับเรื่องให้โอกาสผู้อพยพเข้าประเทศ ที่คงลืมคิดไปว่าไม่ใช่สิ่งที่จะได้ใจจากคนเชื้อสายละตินอเมริกาทั้งหมด มีบางส่วนแน่นอนที่มองว่าตอนฉันมานั้นเหนื่อยยากแสนเข็ญ ผ่านกระบวนการเอกสารคัดกรองต่างๆมากมายตามกฎหมายกว่าจะได้มาอาศัยอยู่ที่ดินแดนแห่งนี้ ทำไมมาตอนนี้ดูเหมือนปล่อยให้ “ลัดคิว”

ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ที่ฝ่ายรีพับลิกันและทรัมป์จึงมุ่งเน้นการปราศรัยนโยบายอย่างหนักว่าจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงสหรัฐฯในอีก 4 ปีข้างหน้าเช่นไร และโจมตี ฝ่ายเดโมแครตด้วยการเน้นย้ำเพียงว่า พวกคุณบริหารบ้านเมืองมากว่า 3 ปีครึ่งแล้ว ประชาชนก็คงเห็นอยู่ว่าอะไรเป็นเช่นไร อาชญากรรมเต็มเมือง ผู้อพยพผิดกฎหมายหลั่งไหลเข้าประเทศ ความเป็นอยู่ยากลำบาก เราขอกลับทำเนียบขาวเพื่อมาจัดการสิ่งเหล่านี้

ไม่จำเป็นต้องลงแรงอะไร ปล่อยให้แฮร์ริส “ทำลายตัวเอง” ด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่สะท้อนถึงความไม่เข้าใจหัวอกชาวบ้าน ซึ่งมักจะตามมาด้วยคำพูดอันงงงวยเสมอๆ อย่างเมื่อเดือนที่แล้ว ตอนถูกสื่อเอบีซีถามว่า จะทำอะไรที่แตกต่างกับผู้นำคนปัจจุบันบ้าง คำตอบที่หลุดออกจากปากของเธอคือ “ยังนึกไม่ออกเลยนะ”.

...

วีรพจน์ อินทรพันธ์