ผมเขียนบทความนี้บ่ายสี่โมงวันพุธ การนับคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯยังไม่เสร็จสิ้น สำนักข่าวฟอกซ์นิวส์ สื่อเลือกข้างที่สนับสนุนพรรครีพับลิกัน ประกาศคาดว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 47แม้การนับคะแนนยังไม่เสร็จสิ้น แต่คะแนนทรัมป์ก็ทิ้งห่าง นางคามาลา แฮร์ริส คู่แข่งไปไกลมาก ทรัมป์ได้เสียงคณะกรรมการเลือกตั้ง 267 เสียง ได้อีก 3 เสียงก็ชนะแล้ว นางคามาลา แฮร์ริส ได้ 214 เสียง คะแนนป๊อปปูลาร์โหวต ทรัมป์ก็ชนะแฮร์ริส 69.6 ต่อ 64.3 ล้านเสียง วุฒิสภา พรรครีพับลิกันก็ชนะได้เสียงข้างมาก 51 เสียง ทั้งที่ยังนับคะแนนไม่เสร็จ สภาผู้แทนฯ พรรครีพับลิกันก็นำพรรคเดโมแครต 197 ต่อ 170 เสียง ซึ่งยังนับคะแนนไม่เสร็จ

ชัยชนะของ โดนัลด์ ทรัมป์  และ พรรครีพับลิกัน ครั้งนี้ ถือเป็นชัยชนะที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทั้ง ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เสียงข้างมากวุฒิสภา เสียงข้างมากสภาผู้แทนฯ ทำให้ทรัมป์เป็นผู้นำสหรัฐฯที่มีอำนาจมากที่สุดในการเมืองสหรัฐฯ และมากที่สุดในโลกด้วย

การกลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยสอง หลังจากที่เว้นไปหนึ่งสมัย ไม่ใช่เรื่องง่าย ปี 2016 ทรัมป์ ชนะ นางฮิลลาลี คลินตัน ได้เป็นประธานาธิบดีสมัยแรกด้วยนโยบาย “Make America Great Again–ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” ปี 2020 ทรัมป์ แพ้ให้กับ โจ ไบเดน และปีนี้ 2024 ทรัมป์ ชนะ นางคามาลา แฮร์ริส ได้เป็นประธานาธิบดีสมัย 2 ด้วยนโยบายเดิมแต่เพิ่ม Once เข้าไปคือ “Make America Great Once Again–ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง” ซึ่งชาวโลกจะต้องแลกด้วยอะไรบ้าง ต้องดูกันต่อไป

ครั้งก่อน ทรัมป์ใช้นโยบาย “Make America Great Again” ในการ ก่อสงครามการค้ากับจีน ขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ทำลายระบบการค้าเสรี Globalization ทำลายห่วงโซ่อุปทานด้านเทคโนโลยี ก่อสงครามการค้า สงครามเย็นทางเทคโนโลยี โดยอ้างความมั่นคงของสหรัฐฯ ทำให้โลกต้องแบ่งแยกและแตกแยกทางภูมิรัฐศาสตร์  ทั้งการเมือง การค้า สังคม และเทคโนโลยี

...

วันนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาอีกครั้งด้วยอำนาจที่มากกว่าเดิม ทำให้นโยบาย Make America Great Once Again รุนแรงยิ่งกว่าเดิม นโยบายต่างประเทศและการค้าระหว่างประเทศของไทยจึงน่าเป็นห่วง เพราะรัฐบาลของ “นายกฯฝึกหัด” แพทองธาร ชินวัตร ไม่มีรัฐมนตรีระดับ “มืออาชีพสากล” ที่ เวทีการเมืองระหว่างประเทศให้การยอมรับนับถือ ไม่ว่าจะเป็น รัฐมนตรีต่างประเทศ รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีพาณิชย์ ฯลฯ มีแต่รัฐมนตรีที่เข้าแถวเป็นระเบียบวินัยประดับฉากหลัง นายกฯแพทองธาร แล้วเราจะไปสู้รบปรบมือกับนักการเมืองมืออาชีพระดับโลกอย่าง สหรัฐฯ และ จีน  ได้อย่างไร เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ของชาติ ไม่ใช่การด้อยค่าใคร รัฐมนตรีแต่ละคนก็รู้ตัวดี มือถึงระดับอินเตอร์หรือไม่

ไปดู นโยบายการค้าระหว่างประเทศ  ของ ว่าที่ประธานาธิบดี ทรัมป์ เสียหน่อยนะครับ มีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยและทุกประเทศทั่วโลกแน่นอน

เริ่มจาก นโยบายภาษีของทรัมป์ ที่จะเกิดขึ้นในต้นปีหน้า เมื่อ ประธานาธิบดีทรัมป์  ขึ้นครองอำนาจ จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศในอัตรา 10–20% จากอัตราเฉลี่ย 3% ในปัจจุบัน จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนในอัตรา 60% จากอัตราเฉลี่ย 20% ในปัจจุบัน นโยบายด้านพลังงาน ค่อยยังชั่ว ทรัมป์มีนโยบายเร่งขุดน้ำมันในสหรัฐฯ เพื่อลดการนำเข้า หวังให้ราคาน้ำมันในประเทศลดลง ส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกลดลงด้วย ในสหรัฐฯ จะลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 15% จาก 21% ซึ่งจะทำให้การค้าในสหรัฐฯคึกคักขึ้น

แต่การขึ้นภาษีนำเข้า 20% สถาบันนโยบายภาษีและเศรษฐกิจสหรัฐฯ  วิเคราะห์ว่า จะทำให้ครัวเรือนรายได้ต่ำล่างสุด 20% มีรายได้แท้จริงลดลง 5.7% ครัวเรือนที่มีรายได้ปานกลาง รายได้แท้จริงจะลดลง 4.6% ส่วนครัวเรือนที่รวยสุด 1% รายได้แท้จริงลดลงแค่ 1.4%

นโยบายสำคัญอีกข้อคือ ทรัมป์สนับสนุน Cryptocurrency ทำให้ ราคา Bitcoin วันเลือกตั้งพุ่งขึ้นไปถึง 75,300 ดอลลาร์ สถิติสูงสุดใหม่  เมื่อทรัมป์มีคะแนนนำ ก่อนลงมาที่ 73,870 ดอลลาร์ (16.30 น.)ที่ทำนายไว้ว่า Bitcoin จะถึง 1 แสนดอลลาร์ ทำท่าจะจริง.

“ลม เปลี่ยนทิศ”

คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม