ผลเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024: โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทำให้รูปแบบของผู้มีสิทธิเลือกตั้งของสหรัฐฯ เปลี่ยนไปอีกครั้งในปีนี้ โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นชาวฮิสแปนิก คนหนุ่มสาว และชาวอเมริกันที่ไม่มีวุฒิการศึกษาระดับอุดมศึกษา

โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทำให้รูปแบบของผู้มีสิทธิเลือกตั้งของสหรัฐฯ เปลี่ยนไปอีกครั้งในปีนี้ โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นชาวฮิสแปนิก คนหนุ่มสาว และชาวอเมริกันที่ไม่มีวุฒิการศึกษาระดับอุดมศึกษา และได้รับคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นในเกือบทุกพื้นที่ของประเทศ ขณะที่เขากลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง

หลังจากแคมเปญประชานิยมของพรรครีพับลิกัน ซึ่งทรัมป์สัญญาว่าจะช่วยเหลือแรงงานจากการแข่งขันทางเศรษฐกิจระดับโลก และข้อเสนอลดหย่อนภาษี คะแนนนิยมที่เพิ่มมากขึ้นของทรัมป์ในหมู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นชนชั้นแรงงานและชาวอเมริกันที่ไม่ใช่คนผิวขาว ช่วยทำให้ส่วนแบ่งคะแนนเสียงของเขาเพิ่มขึ้นเกือบทุกพื้นที่

การเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดที่สุด คือส่วนแบ่งผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นชาวฮิสแปนิกของทรัมป์ ที่เพิ่มขึ้นถึง 14% ตามผลสำรวจผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ดำเนินการโดย Edison Research ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ระบุตนเองว่าเป็นชาวฮิสแปนิกประมาณ 46% เลือกทรัมป์ เพิ่มขึ้นจาก 32% ในการเลือกตั้งปี 2020 โดย ชาวฮิสแปนิกส่วนใหญ่สนับสนุนพรรคเดโมแครตมาหลายทศวรรษแล้ว แต่สัดส่วนของทรัมป์ในปีนี้ถือเป็นสัดส่วนสูงสุดสำหรับผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ในผลสำรวจก่อนการเลือกตั้งตั้งแต่ทศวรรษ 1970 และสูงกว่าสัดส่วน 44% ที่จอร์จ ดับเบิลยู บุช จากพรรครีพับลิกันชนะในปี 2004 เพียงเล็กน้อย ตามข้อมูลที่รวบรวมโดยสถาบัน American Enterprise ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยแนวอนุรักษนิยม

...

ในเขตที่มีชาวอเมริกันในวัยมีสิทธิเลือกตั้งมากกว่า 20% เป็นชาวฮิสแปนิก ส่วนต่างของทรัมป์เหนือคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตนั้น เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับผลงานในปี 2020

คาร์โล โซโป นักยุทธศาสตร์สื่อของพรรครีพับลิกันซึ่งทำงานด้านการเข้าถึงชาวฮิสแปนิกสำหรับแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ในปี 2020 กล่าว;jk "ชาวฮิสแปนิกรุ่นใหม่ ไม่มีความทรงจำเช่นเดียวกับคนรุ่นก่อน ที่ลงคะแนนให้พรรคเดโมแครตมาเป็นเวลา 50 ปี"

โดยครั้งนี้ทรัมป์ได้คะแนนเสียงจากกลุ่มชายชาวฮิสแปนิก 55% เพิ่มขึ้น 19% จาก 4 ปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 36% ในขณะที่เขาได้รับการสนับสนุนจากผู้หญิงฮิสแปนิก 38% เพิ่มขึ้น 8% จากปี 2020

ทรัมป์ได้ทำให้การต่อต้านการอพยพเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของเขา โดยให้คำมั่นว่าจะเนรเทศผู้คนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมายเป็นจำนวนมาก ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวฮิสแปนิกจำนวนมากสนับสนุนจุดยืนที่แข็งกร้าวของทรัมป์ ตามผลเอ็กซิตโพลของ Edison Research ผู้ตอบแบบสอบถามชาวฮิสแปนิกประมาณ 1 ใน 4 กล่าวว่า ผู้อพยพส่วนใหญ่ในประเทศที่ไม่มีเอกสาร ควรถูกเนรเทศไปยังประเทศที่พวกเขาเดินทางมา เมื่อเทียบกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยรวม 40% 

ทั้งนี้ ชาวฮิสแปนิกในอเมริกามีแนวโน้มเป็นชนชั้นแรงงานมากกว่าคนผิวขาวซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ของประเทศ โดยมีชาวฮิสแปนิกจำนวนมากที่ไม่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี ตามการประมาณการของสำนักงานสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ ชาวฮิสแปนิกมักจะมีอายุน้อยกว่าค่าเฉลี่ยในอเมริกา ซึ่งหมายความว่าหลายคนมีเวลาน้อยกว่าในการสร้างความมั่งคั่ง และยังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามากขึ้น เช่น อัตราเงินเฟ้อที่สูงและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่พุ่งสูงขึ้น ทรัมป์ได้รับชัยชนะ 43% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 29 ปี ซึ่งมากกว่าในปี 2020 ถึง 7%

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ 2 ใน 3 มองว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อยู่ในสภาพย่ำแย่ เมื่อเทียบกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งประมาณครึ่งหนึ่งในปี 2020 ราว 46% กล่าวว่าสถานการณ์ทางการเงินของครอบครัวของพวกเขาย่ำแย่กว่าเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เมื่อเทียบกับ 20% ที่กล่าวแบบเดียวกันในปี 2020

คลาริสซา มาร์ติเนซ เด คาสโตร รองประธานของกลุ่ม UnidosUS Latino Vote Initiative ซึ่งไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด กล่าวว่า "พรรครีพับลิกันเอาชนะพรรคเดโมแครตได้อย่างต่อเนื่องในการเชื่อมโยงผู้มีสิทธิเลือกตั้งเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ นี่คือการลงประชามติเกี่ยวกับเศรษฐกิจ และนั่นเป็นประเด็นที่มีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง สอง และสาม สำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวฮิสแปนิกมาโดยตลอด"

ทั่วประเทศ ในพื้นที่ที่นับคะแนนเสียงเกือบทั้งหมด ซึ่งมีประมาณ 2,200 เคาน์ตี้ทั่วประเทศ คะแนนเสียงของทรัมป์สูงกว่าในปี 2020 ถึง 5%
การเพิ่มขึ้นอย่างมากนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นในหมู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไม่มีวุฒิการศึกษาระดับวิทยาลัย ซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมากที่ครอบคลุมทุกเชื้อชาติและชาติพันธุ์ และคิดเป็นกว่าครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 

โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไม่มีวุฒิการศึกษา 56% เลือกทรัมป์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 6% จากคะแนนเสียงของพรรครีพับลิกันในการสำรวจเอ็กซิตโพลปี 2020 แฮร์ริสชนะคะแนนเสียง 55% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีวุฒิการศึกษา ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากคะแนนเสียงของไบเดนในปี 2020 ซึ่งพื้นที่ชานเมืองที่มีฐานะร่ำรวย ช่วยขับเคลื่อนชัยชนะของพรรคเดโมแครต

ชัยชนะของทรัมป์ ก่อร่างขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้ง นับตั้งแต่ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 เมื่อเขาทำผลงานได้ดีกว่ากับกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นชนชั้นแรงงานผิวขาวในพรรครีพับลิกันอย่างมาก เขายังคงครองความโดดเด่นในกลุ่มนี้ได้เป็นส่วนใหญ่ในปีนี้ โดยได้รับคะแนนเสียง 66% โดยคะแนนเสียงของเขาลดลง 1% จากปี 2020 ตามการสำรวจเอ็กซิตโพลของ Edison Research

...

แม้ว่าคะแนนเสียงของทรัมป์จะเพิ่มมากขึ้นทั่วประเทศ แต่คะแนนเสียงที่เพิ่มมากขึ้นมากที่สุดของเขานั้น อยู่ในและรอบๆ เมืองใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชัยชนะของพรรคเดโมแครตในอดีต

ทรัมป์สามารถพลิกผลการเลือกตั้งในเขตแนสซอ เคาน์ตี้ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของนครนิวยอร์ก บนเกาะลองไอส์แลนด์ โดยชนะไปได้ด้วยคะแนนเสียงประมาณ 52% ส่วนในเขตเคาน์ตี้เมืองใหญ่ 25 แห่งที่นับคะแนนเสียงเกือบทั้งหมดแล้ว แฮร์ริสได้คะแนนเสียงไป 60% ซึ่งลดลงประมาณ 5% จากผลงานของไบเดนในปี 2020 และเป็นคะแนนเสียงที่ต่ำที่สุดสำหรับพรรคเดโมแครตในเคาน์ตี้เหล่านั้นตั้งแต่ปี 2012 เป็นอย่างน้อย

แฮร์ริสได้คะแนนเสียงจากกลุ่มผู้หญิงไป 53% ในขณะที่ทรัมป์ได้คะแนนเสียงผู้ชายไป 55%โดยทรัมป์ทำผลงานได้ดีขึ้นเล็กน้อยในทั้งสองกลุ่มเมื่อเทียบกับปี 2020.

ที่มา Reuters

ติดตามข่าวผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 https://www.thairath.co.th/uselection2024