• โดนัลด์ ทรัมป์ คัมแบ็กครั้งประวัติศาสตร์ คว้าเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไปครั้ง หลังพลาดไปในการเลือกตั้งคราวก่อน โดยเอาชนะคู่แข่งอย่าง คามาลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครตไปได้อย่างไม่ยากเย็น

  • หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนี้ คือความกังวลเรื่องเศรษฐกิจของชาวอเมริกัน โดยนายทรัมป์ถูกยกให้เป็นต่อเรื่องนโยบายเศรษฐกิจมากกว่าแฮร์ริสมาตลอด ตั้งแต่ต้นจนจบ

  • การที่เดโมแครตสูญเสียคะแนนจากกลุ่มที่ไม่ใช่คนผิวขาว ซึ่งควรเป็นฐานเสียงของพวกเขา ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุ ที่ทำให้ทรัมป์คว้าชัยชนะในรัฐสวิงสเตทได้ทุกแห่ง

4 ปีหลังลงจากตำแหน่งประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ สร้างปรากฏการณ์ “คัมแบ็ก” ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ หลังชาวอเมริกันหลายล้านคนให้โอกาสเขาอีกครั้ง โดยโหวตเลือกเขากลับเข้าสู่ทำเนียบขาว

สถานการณ์ของทรัมป์ค่อนข้างเป็นต่อคู่แข่งจากฝ่ายเดโมแครต เขารอดจากความพยายามลอบสังหารถึง 2 ครั้ง และคู่ชิงดั้งเดิมอย่าง โจ ไบเดน ก็ต้องถอนตัวกลางคัน และดัน คามาลา แฮร์ริส เข้าสู่สนามแข่งกลางทาง โดยเหลือเวลาให้หาเสียงไม่กี่เดือน ทำให้หลายฝ่ายมองว่า ทรัมป์มีโอกาสที่จะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้มากกว่า

แต่ที่เหนือความคาดหมาย คือชาวอเมริกันส่วนใหญ่ในรัฐสมรภูมิ หรือ สวิงสเตท ทั้ง 7 แห่ง เลือกโหวตให้เขา ต่างจากการเลือกตั้งครั้งก่อน (ค.ศ. 2020) ที่เกือบทุกรัฐโหวตให้ไบเดน แม้แต่กลุ่มคนผิวดำและชาวฮิสแปนิก ซึ่งควรจะเป็นฐานเสียงของแฮร์ริส ก็ลงคะแนนให้เขามากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มาก

อะไรคือปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ และส่งให้โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ของสหรัฐฯ ที่นั่งเก้าอี้สมัยที่ 2 โดยไม่ต่อเนื่องจากสมัยแรก

...

นโยบายทรัมป์โดนใจ

ผลเอ็กซิตโพลที่ออกมาหลังปิดหีบเลือกตั้งเมื่อคืนวันอังคารที่ 5 พ.ย. ชี้ว่า เรื่องค่าครองชีพ เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้โหวตกังวลมากที่สุดอันดับที่ 2 และเป็นหนึ่งในปัญหาที่เร่งด่วนและเห็นได้ชัดมากที่สุด เนื่องจากพวกเขากำลังประสบกับมันด้วยตัวเอง จึงไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะไม่อยากได้ผู้นำจากพรรคการเมืองเดิม ที่แก้ปัญหาให้พวกเขาไม่ได้

ตลอดการหาเสียงก่อนถึงวันเลือกตั้ง นายทรัมป์เน้นประเด็นเรื่องเศรษฐกิจมาโดยตลอด ทั้งสัญญาว่าจะลดภาษีเงินได้ ลดข้อจำกัดของอุตสาหกรรมรถยนต์ และตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าเพื่อช่วยเหลือผลิตภัณฑ์ในประเทศ ทำให้แคมเปญของเขาถูกมองว่า โดดเด่นกว่าฝ่ายแฮร์ริสในเรื่องเศรษฐกิจ ตั้งแต่ต้นจนจบ

และวาทกรรมที่ว่า “คุณในตอนนี้ดีกว่าเมื่อ 2 ปีก่อนหรือไม่?” ที่นายทรัมป์พูดพูดทุกครั้งในการหาเสียง ก็สะกิดใจผู้ที่กำลังเผชิญพิษเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่ชอบเขาหรือไม่ก็ตาม

ในทางกลับกัน สิ่งที่ฝ่ายแฮร์ริสชูคือเรื่องความเป็นประชาธิปไตย และสิทธิ์ในการทำแท้ง ผลเอ็กซิตโพลชี้ว่า ผู้โหวตเพียง 14% ที่ให้สิทธิ์ในการทำแท้งเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการลงคะแนนเสียงของพวกเขามากที่สุด

อัตราเงินเฟ้อก็อาจมีส่วนทำให้ระยะห่างระหว่างกลุ่มผู้มีรายได้มาก กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยขยายกว้างมากขึ้น โดยเอ็กซิตโพลชี้ว่า เดโมแครตได้ส่วนแบ่งคะแนนเพิ่มขึ้น 9% จากกลุ่มผู้โหวตที่อาศัยอยู่ในครัวเรือนที่ไม่รายได้มากกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ขณะที่รีพับลิกันได้ส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นถึง 12% จากผู้โหวตกลุ่มที่มีรายได้น้อยกว่านั้น ซึ่งคิดเป็น 60% ของจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด

อีกเรื่องที่นายทรัมป์พูดมาตลอดคือ จะแก้ปัญหาเรื่องผู้อพยพเข้าประเทศผิดกฎหมาย ซึ่งเพิ่มขึ้นทุบสถิติสุดในปี 2566 และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ชาวอเมริกันกังวลมากที่สุด ผู้ที่โหวตให้ทรัมป์ส่วนใหญ่ไม่ใช่พวกเหยียดเชื้อชาติ หรือเชื่อที่เขาบอกว่าผู้อพยพกินสัตว์เลี้ยง พวกเขาเพียงต้องการการคุ้มกันชายแดนที่เข้มแข็งขึ้นเท่านั้น

ได้คะแนนจากคนกลุ่มอื่น นอกจากคนขาวมากขึ้น

ผลเอ็กซิตโพลประเมินว่า ฝ่ายเดโมแครตได้รับการสนับสนุนจากชาวอเมริกันที่ไม่ใช่คนผิวขาวน้อยลง ถึงแม้จะได้แรงหนุนจากกลุ่มคนขาวมากขึ้น โดยเฉพาะผู้จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่อาจเอาชนะฝ่ายรีพับลิกัน โดยผลเอ็กซิตโพลชี้ว่า นายทรัมป์ได้คะแนนจากกลุ่มคนขาวมากกว่าแฮร์ริสถึง 12% (55% ต่อ 42%) ช่องว่างหดลงเพียง 5%

ขณะเดียวกัน ฝ่ายรีพับลิกันกลับคะแนนจากชาวอเมริกันที่ไม่ใช่คนขาวมากขึ้น โดยเฉพาะชาวฮิสแปนิกและชาวลาติโน ถึงจะไม่สามารถแซงฝ่ายเดโมแครตได้ แต่สามารถลดช่วงว่างส่วนต่างได้ถึง 26 จุด ไปอยู่ที่ 53% (เดโมแครต) ต่อ 45%

คะแนนโหวตที่ทรัมป์ได้จากชาวลาตินนับว่าดีที่สุดนับตั้งแต่ยุคของจอร์จ ดับเบิลยู บุช ในปี 2547 โดยหากนับเฉพาะชาวลาตินอย่างเดียว พวกเขาขยับไปฝ่ายทรัมป์มากถึง 33%

ส่วนเหตุผลที่เป็นเช่นนี้ สืบเนื่องมาจากข้อที่ 1 คือเรื่องเศรษฐกิจ โดนัลด์ ทรัมป์ มีความชัดเจนกว่ามากว่าเขาจะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แม้จะยังไม่รู้ว่าแก้ได้จริงหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็มีอะไรให้จับต้อง ในขณะที่แฮร์ริสยังไม่สามารถสลัดตัวเองจากภาพของ โจ ไบเดน ที่ชาวอเมริกันจำนวนมากมองว่า ล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้เลย

...

ผู้สนับสนุนเดโมแครตออกมาใช้สิทธิ์น้อยลง

นอกจากปัญหาเศรษฐกิจและคะแนนจากกลุ่มคนผิวดำแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่ดูเหมือนจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เดโมแครตทำผลงานได้ไม่ได้ในการเลือกตั้งครั้งนี้คือ ผู้สนับสนุนของพวกเขาออกมาใช้สิทธิ์น้อย

จนถึงตอนนี้ เจ้าหน้าที่นับบัตรเลือกตั้งไปแล้ว 140.3 ล้านโหวต และคาดว่าจำนวนสุดท้ายจะอยู่ที่ราวๆ 152 ล้านโหวตเท่านั้น ลดลงจากการเลือกตั้งในปี 2020 ที่มีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ถึง 158 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 61% และ 66% ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมดในสหรัฐฯ ตามลำดับ

แฮร์ริสได้คะแนนมหาชน หรือ ป๊อปปูลาร์โหวต น้อยกว่าไบเดนในการเลือกตั้งครั้งก่อนเกือบ 14 ล้านคะแนน ขณะที่นายทรัมป์ได้น้อยลง 2 ล้านคะแนน โดยจำนวนผู้ใช้สิทธิ์ตามเคาน์ตีที่เป็นของเดโมแครต ในรัฐสวิงสเตทแห่งต่างๆ ลดลงอย่างมาก ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าจำนวนที่ลดลงนี้ ส่งผลกระทบต่อพวกเขามากน้อยเพียงใด

แต่ดูเหมือนฝ่ายเดโมแครตก็ตระหนักถึงเรื่องนี้ เพราะในวันเลือกตั้ง ตอนที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าตัวเองมั่นใจสุดๆ ว่าจะชนะ แฮร์ริสยังไปออกรายการวิทยุ เรียกร้องให้ผู้คนออกมาใช้สิทธิ์อยู่เลย

...






ผู้เขียน : ทิตชนม์ สว่างศรี

ที่มา : abcnewsbbc

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ติดตามการเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 ได้ที่ ไทยรัฐออนไลน์ https://www.thairath.co.th/uselection2024