ชายชาวรัสเซีย ผู้รอดชีวิตหลังลอยกลางทะเลบนเรือยางนานถึง 67 วัน เปิดใจครั้งแรก ว่าเขาเอาชีวิตรอดผ่านช่วงเวลา 2 เดือนนั้นได้อย่างไร

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายมิคาอิล พิชูกิน อายุ 46 ปี ออกเดินทางไปดูวาฬ ในทะเลโอคอตสก์ ทางตะวันออกของรัสเวีย พร้อมกับพี่ชายวัย 49 ปี กับหลานวัย 15 ปี ก่อนที่เครื่องยนต์ของเรือยางที่พวกเขาใช้จะเกิดขัดข้องและปิดตัวลง ขณะเดินทางกลับเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2567

การหายตัวไปของทั้ง 3 คน ทำให้เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินต้องออกตามหา แต่ประสบความล้มเหลว ขณะที่นายพิชูกินกับพี่ชายและหลานชาย ลอยไปกับเรืออย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (14 ต.ค.) เรือประมงลำหนึ่งไปพบเขา ในน่านน้ำนอกชายฝั่งคัมชัตกา 11 ไมล์ทะเล และห่างจากจุดที่พวกเขาเดินทางออกมาร่วม 540 ไมล์ทะเล

นายพิชูกินถูกพบในสภาพผอมโซ ร่างกายอ่อนแรง ขณะที่พี่ชายกับหลานของเขาเสียชีวิตแล้ว และศพถูกผูกติดกับเรือ เพื่อไม่ให้ถูกน้ำทะเลพัดไป

ในวันพุธที่ 16 ต.ค. 2567 นายพิชูกินได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวจากเตียงของโรงพยาบาล ว่า เครื่องยนต์ของเรือเสีย และหนึ่งในไม่พายที่มีหัก ทำให้ควบคุมเรือไม่ได้ ขณะที่โทรศัพท์บนเรือก็ไร้ประโยชน์เนื่องจากไม่มีสัญญาณ อย่างไรก็ตาม ทั้งสามใช้มันเพื่อระบุพิกัดได้นานราว 1 สัปดาห์ ก่อนที่แบตเตอรี่กับพาวเวอร์แบงก์จะหมด

นายพิชูกินเล่าอีกว่า พวกเขาพยายามใช้พลุแฟร์ที่มีบนเรือดึงดูดความสนใจจากหน่วยกู้ภัยแต่ไม่สำเรจ “มีเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งผ่านมา และอีกลำในอีก 3 วันต่อมา แต่พวกเขาไม่ได้ช่วยเลย”

หนุ่มใหญ่ชาวรัสเซียรายนี้เผยว่า พวกเขาต้องรองน้ำฝนเพื่อใช้ดื่มกิน และต้องหาทางสร้างความอบอุ่นอย่างอยากลำบาก ในทะเลโอคอตสก์ ซึ่งเป็นทะเลที่หนาบเหน็บที่สุดในเอเชียตะวันออก “เรามีถุงนอนขนอูฐ แต่มันเปียและไม่ยอมแห้งเลย” “คุณต้องคลานเข้าไปใต้มัน บิดตัวเล็กน้อยเพื่อให้เกิดความอบอุ่น”

...

บนเรือยังมีเสบียงอาหารอย่างจำกัด เป็นบะหมี่และถั่ว พวกเขาจึงพยายามจับปลาเพื่อประทับชีวิต อย่างไรก็ตาม พิชูกินระบุว่า หลานชายของเขาเสียชีวิตในเดือนกันยายน เนื่องจากอุณหภูมิร่างกายต่ำและอดอาหาร ส่วนพี่ชายก็เริ่มเสียสติ และครั้งหนึ่งเขาพยายามกระโดดลงจากเรือ

นายพิชูกินกล่าวว่า ต้องขอบคุณความช่วยเหลือของพระเจ้าที่ทำให้เขารอดชีวิตมาได้ “ผมไม่มีทางเลือกจริงๆ ผมยังมีแม่และลูกสาวรออยู่ที่บ้าน”

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : the guardian