โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มปล่อยของ ชูนโยบายสุดโต่งมากขึ้น กดดันแฮร์ริสที่ดูเหมือนว่า โมเมนตัมซึ่งมาดีในตอนแรกกำลังเสื่อมถอยลง
สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มแสดงวิสัยทัศน์สุดโต่ง ซึ่งทำให้เห็นภาพคร่าวๆ ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ในมือของเขานั้นอาจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะทางดีหรือร้ายก็ตาม ขณะที่คามาลา แฮร์ริส ยังคงประสบปัญหาในการฟื้นฟูโมเมนตันกลับมา แม้ว่าเธอจะเหลือเวลาเพียง 3 สัปดาห์ ก่อนที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีจะมาถึง
ทรัมป์ยกระดับความสุดโต่ง
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นายทรัมป์ยกระดับวาทกรรมต่อต้านผู้อพยพให้สุดโต่งยิ่งขึ้นไปอีก ถึงขั้นเตือนว่า คนนอกที่มี “ยีนไม่ดี” กำลังบุกรุกเข้าสู่สหรัฐฯ หลังก่อนหน้านั้นเขาอ้างโดยไม่เป็นความจริงว่า ผู้อพยพถูกกฎหมายชาวเฮติในรัฐโอไฮโอกินสัตว์เลี้ยง
ที่การหาเสียงในรัฐแอริโซนาเมื่อวันอาทิตย์ นายทรัมป์พูดโดยไม่มีหลักฐานประกอบใดๆ ว่าหากแฮร์ริสได้รับเลือก สหรัฐฯ ทั้งประเทศจะกลายเป็ยค่ายผู้อพยพ ขณะที่การหาเสียงในโคโลราโดเมื่อ 2 วันก่อนหน้านั้น เขาให้คำมั่นอีกครั้ง ว่าจะมีการเนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ หากเขาได้รับเลือก และจะปิดชายแดน กันผู้อพยพผิดกฎหมาย
ในช่วงสุดสัปดาห์ นายทรัมป์ข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองเพิ่มขึ้นอีก ระบุว่า เขาอาจใช้ทหารจุดการกับ “ศัตรูภายในประเทศ” และเสนอแนะให้ใช้ความรุนแรงกับผู้ก่อกวนระหว่างการหาเสียงที่แคลิฟอร์เนียเมื่อวันเสาร์ด้วย
คำพูดของนายทรัมป์ยังแสดงให้เห็นว่า เขาอาจใช้อำนาจพิเศษของประธานาธิบดี เพื่อสนองความต้องการส่วนตัวหรือทางการเมือง โดยในช่วงสุดสัปดาห์ เขาขู่ว่าจะใช้คำสั่งประธานาธิบดี ระงับเงินบรรเทาภัยพิบัติของรัฐบาลกลางที่จะมอบให้แก่รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นฐานเสียงของเดโมแครต หลังจากกล่าวหาว่า แฮร์ริสกับไบเดน ทำแบบเดียวกันกับเขตที่บริหารโดยรีพับลิกัน
...
นายทรัมป์บอกด้วยว่า สำนักข่าว ซีบีเอส อาจต้องเสียใบอนุญาตประกอบการ เพราะเขาไม่พอใจที่บรรณาธิการเชิญแฮร์ริสไปออกรายการสัมภาษณ์ “60 Minutes” ที่ตัวนายทรัมป์เองปฏิเสธไม่ยอมไปออก เขายังขู่ยกเลิกสัญญารัฐบาลกลางของบริษัท ดีลอยท์ บริษัทตรวจสอบบัญชีรายใหญ่ หลังลูกจ้างคนหนึ่งทำข้อความส่วนตัวของ เจ.ดี. แวนซ์ ที่เขาวิพากษ์วิจารณ์นายทรัมป์ รั่วไหล
แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตแสดงให้เห็นแล้วว่า นายทรัมป์ไม่ได้ทำตามสิ่งที่เขาพูดไปทุกอย่าง แต่ก็ไม่อาจดูเบาคำพูดของเขาได้เช่นกัน
การปล่อยของของนายทรัมป์ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับแฮร์ริส ขณะที่แกนนำอาวุโสของเดโมแครต รวมถึง อดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน และบารัค โอบามา ต้องออกมาเรียกร้องให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในรัฐสวิงสเตท โดยเฉพาะคนผิดดำและชาวละติน ว่าต้องไม่ปล่อยให้นายทรัมป์กลับมามีอำนาจ
ชาวเดโมแครตกังวล
แฮร์ริสเริ่มโจมตีนายทรัมป์มากขึ้นในวันอาทิตย์ วิพากณ์วิจารณ์เขาเรื่องความโปร่งใสที่ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลสุขภาพ และไม่ยอมดีเบตรอบที่ 2 กับเธอ หรือให้สัมภาษณ์กับรายการ “60 Minutes” อย่างไรก็ตาม ชาวเดโมเครตเริ่มกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจาก กระแสที่ดีขึ้นของแฮร์ริส รวมถึงชัยชนะของเธอในการดีเบต กลับไม่สามารถทำให้คะแนนนิยมเธอนำนายทรัมป์ได้อย่างเด็ดขาดได้
ผลโพลล่าสุดของ ซีเอ็นเอ็น ชี้ว่ายังไม่มีผู้นำที่ชัดเจนระหว่างนายทรัมป์กับแฮร์ริส เช่นเดียวกับโพลสำนักอื่นๆ ทั้ง ซีบีเอส, เอบีซี และเอ็นบีซี ที่ออกเมื่อวันอาทิตย์ แม้แฮร์ริสจะนำอยู่ในการสำรวจแห่งชาติ แต่ชาวเดโมแครตกังวลว่า เธออาจชนะคะแนนมหาชน แต่แพ้คะแนนคณะผู้เลือกตั้ง เหมือนกับตอนฮิลลารี คลินตัน
การที่การแข่งขันยังสูสีจนถึงตอนนี้ แสดงให้เห็นว่า แม้นายทรัมป์จะสุดโต่ง แต่เดโมแครตกลับไม่สามารถหาแคนดิเดทและนโยบายที่จะทำให้พวกเขามั่นใจในผลการเลือกตั้งได้ เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกันแล้ว และนายทรัมป์ก็ชนะแฮร์ริสได้ด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่นายทรัมป์เสนอเป็นสิ่งที่ชาวอเมริกันหลายล้านคนต้องการ ขณะที่รีพับลิกันโจมตีนโยบายของไบเดน-แฮร์ริสว่า ทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูง ทรัมป์ยังโจมตีเรื่องการถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานอย่างทุกลักทุเลเมื่อ 2 ปีก่อน ว่าทำให้โลกมองว่าอเมริกันอ่อนแอ และความล้มเหลวของรัฐบาลไบเดนในการรับมือปัญหาผู้อพยพ ก็ยิ่งเปิดช่องโหว่ให้นายทรัมป์ใช้โจมตี
บรรยากาศขุ่นมัวในสหรัฐฯ ทำให้ตำแหน่งรองประธานาธิบดีของแฮร์ริสกลายเป็นจุดอ่อน และการที่เธอไม่สามารถแสดงให้เห็นว่าเธอมีนโยบายที่แตกต่างจากไบเดนแม้แต่อย่างเดียวในการให้สัมภาษณ์ในรายการ “The View” ของช่องเอบีซี ก็เป็นความผิดพลาด เมื่อเทียบกับนายทรัมป์ที่ประกาศชัดเจนว่าจะไล่ผู้อพยพ, เล่นงานคู่แข่งทางการค้าของสหรัฐฯ ด้วยกำแพงภาษี และแก้ไขสถนการณ์โลกที่กำลังอยู่เหนือการควบคุม
แต่เดโมแครตยังมองโลกในแง่ดีได้ว่า คะแนนนิยมของนายทรัมป์ในโพลส่วนใหญ่ยังค้างอยู่ที่ราว 48% ขณะที่แฮร์ริสอาจมีพื้นที่ให้เติบโตขึ้นอีก โดยโพลของ เอ็นบีซี นิวส์ ชี้ว่า มีผู้โหวต์ 10% อาจตัดสินใจเปลี่ยนฝั่ง
การแข่งขันในรัฐสำคัญอย่าง เพนซิลเวเนีย, มิชิแกน, แอริโซนา และจอร์เจีย จะเป็นไปอย่างดุเดือด ซึ่งต้องมาดูกันว่า นโยบายชูโรงของแฮร์ริส เช่นสิทธิ์ในการทำแท้ง จะสามารถดึงดูดผู้โหวตสตรีได้มากกว่าที่คิดหรือไม่ และเธอจะสามารถดึงคะแนนจากชาวอเมริกันผิวดำและชาวฮิสแปนิกได้หรือเปล่า หรือว่านายทรัมป์จะได้รับการสนับสนุนจากชาวอเมริกันกลุ่มใหม่ ที่เห็นด้วยกับนโยบายของเขา แต่ไม่ค่อยออกมาใช้สิทธิ์
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : cnn
...