เราได้เห็นแล้วว่าพวก “แชตบอต” คือการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ (AI) ให้ตอบคำถาม สร้างภาพ เขียนข้อความ หรือเป็นเพื่อนคุยได้เหมือนมนุษย์ เช่น ChatGPT ของบริษัทโอเพ่นเอไอ, Gemini ของกูเกิล ฯลฯ เข้ามามีบทบาทกับชีวิตของคนเราอย่างมีนัยสำคัญ จนกระทั่งก่อเสียงโต้เถียงกว้างขวาง เช่น กรณีฟีเจอร์เสียงของ ChatGPT ที่ดันไปมีความคล้ายคลึงกับเสียงของสการ์เล็ตต์ โจแฮนสัน นักแสดงสาวคนดังฮอลลีวูด
ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสำเร็จของ ChatGPT ทำให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่างพัฒนาแอปพลิเคชันเอไออย่างรวดเร็ว เพื่อให้สร้างเนื้อหาคุณภาพสูงจากการค้นหาแบบง่ายๆ แน่นอนว่า บริษัทเมตา แม่ของเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และวอทส์แอพ ก็ไม่พลาดตกขบวน ส่งแชตบอต Meta AI ออกมาแชร์ตลาดด้วยคน
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มาร์ก ซักเคอร์ เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของเมตาได้ประกาศในงาน “เมตา คอนเน็กต์” (Meta Connect) เป็นงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ประจำปีของบริษัทถึงรายชื่อ “เสียง” คนดังที่จะใช้กับแชตบอต Meta AI บนแพลตฟอร์มทั้งเฟซบุ๊ก อินสตา แกรม และวอทส์แอพ อาทิ จูดี เดนช์, จอห์น ซีนา, อควาฟินา และคีแกน-ไมเคิล คีย์ ซึ่งฟังก์ชันเสียงเริ่มเปิดตัวในสัปดาห์นี้บนแต่ละแพลตฟอร์ม เวอร์ชันใหม่นี้พัฒนาต่อยอดจากเวอร์ชันแรกที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว ทางเมตารายงานว่ามีคนมากกว่า 400 ล้านคน ปรึกษา Meta AI อย่างน้อยเดือนละครั้ง ซึ่ง
บริษัทมีเป้าหมายที่จะทำให้ Meta AI เป็นผู้ช่วยแก่ผู้คนอย่างแพร่หลายที่สุดภายในสิ้นปีนี้
แต่เมตาก็ไม่ใช่ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายเดียวที่ใช้เสียงคนดัง ยูทูบก็ได้ซื้อลิขสิทธิ์เสียงของนักดนตรีอย่าง ที-เพน ฮิปฮอปชื่อดัง, เดมี โลวาโต, จอห์น เลเจนด์ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม Meta AI ยังไม่สามารถเข้าถึงในยุโรป เนื่องจากข้อกังวลเกี่ยวกับกฎหมายการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป และค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น.
...
ภัค เศารยะ
คลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม